
ขุนพล ผ้าใบแดง “เดอมาร์ เดอโรซาน” (DeMar DeRozan) ในวันที่เกมรุก NBA กลายเป็นศิลปะของความเร็ว เดอโรซานกลับเลือกที่จะใช้พู่กัน แทนลูกธนู และปล่อยให้ฟุตเวิร์กแทนเสียง เขาคือคนที่ยังกล้าเขียนบทกวี ลงบนสนาม ด้วยจังหวะที่ไม่มีใครอยากรอ แต่เขากลับควบคุมมัน ได้อย่างหมดจด
ขุนพล ผ้าใบแดง “เดอโรซาน” ไม่ได้รุกอย่างดุดัน แบบดาเมจหลักของทีมคู่แข่ง เขาไม่ใช่ไฮไลต์แมน ที่พุ่งเข้าหาห่วง แบบไร้ขีดจำกัด แต่การเล่นของเขา คือภาพวาดที่เคลื่อนไหว มีจังหวะ หยุด ดึง ปล่อย ที่ไม่ได้มาจากตำราสมัยใหม่
แต่หล่อหลอมมาจาก ความเข้าใจร่างกาย และพื้นที่สนาม ในแบบนักรบสุดคลาสสิก ในยุคที่ทุกคน ต่างก็เชิดชูการชู้ตสามแต้ม เดอโรซานคือหนึ่งในไม่กี่คน ที่ยังเชื่อใน mid-range และ fadeaway ที่ถูกบรรจงวาดขึ้น อย่างแม่นยำราวบทกวี
เขาไม่แคร์ ว่าอัตราความคุ้มค่าทางสถิติ จะไม่เข้าข้าง ขอแค่เขาคุมจังหวะได้ เขาก็เปลี่ยนทุกการรุก ให้เป็นศิลปะ ที่หยดเหงื่อหลอมรวมกับเลือด ในเกมเพลิง
NBA ในปัจจุบัน ที่ใครๆ ก็เน้นสปีดและ spacing เดอโรซานกลับเดินสวนทาง เขาเลือกจะเล่นช้าลง เขียนเกมจาก mid-post ใช้ฟุตเวิร์กค่อยๆสะกดคู่ต่อสู้ ให้อยู่ในกรอบของเขา แล้วจึงปล่อยให้ความแม่น และจังหวะสังหาร เป็นผู้ตัดสิน
หลายคนบอกว่าเขา “ตกยุค” แต่สถิติบอกตรงข้าม ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เขากลับมามีค่าเฉลี่ยคะแนน ที่สูงที่สุดในชีวิต และยังเป็นผู้เล่น ที่ได้ฟาวล์บ่อยสุด เป็นอันดับต้นๆของลีก แสดงให้เห็นว่า แม้จะไม่มีการยิงไกล ที่หวือหวา แต่เขายังสามารถปั่นป่วนแนวรับ ได้อย่างต่อเนื่องในแบบของเขา [1]
การเปรียบเทียบนี้ ไม่ได้หมายถึงใครดีกว่า แต่สะท้อนให้เห็นว่าเดอโรซาน กำลังพิสูจน์ว่า “การอยู่รอดในเกม” ไม่จำเป็นต้องกลืนไปกับกระแสเสมอไป หากคุณรู้ว่าคุณเก่งอะไร และเล่นต่อไป ในแบบที่คุณถนัดที่สุด
การย้ายมาชิคาโก บูลส์ (Chicago Bulls) คือการเริ่มใหม่อีกครั้งของเดอโรซาน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ว่าเขากำลังเข้าสู่ปลายอาชีพ แต่มันไม่ใช่การล่าแชมป์ ด้วยซูเปอร์ทีม แต่เป็นการแบกทีม จากกลางตาราง ขึ้นมาสู่การแข่งขัน ที่จริงจัง
ในฤดูกาล 2021–2022 เขาทำสถิติเป็น clutch scorer สูงสุดของลีก ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้ทำแต้ม ในช่วงเวลาสำคัญของเกม ได้มากที่สุด หลายเกมในช่วงควอเตอร์สุดท้าย เขาคือคนที่ทีมฝากความหวังไว้ และเขาตอบแทนด้วยความนิ่ง และความแม่นยำ ที่ทำให้ชิคาโก บูลส์อยู่ในระดับการแข่งขันที่จริงจัง [3]
บทบาทของเดอโรซาน ไม่ได้จำกัดแค่ในสนาม แต่ยังรวมถึง การเป็นต้นแบบ ให้กับผู้เล่นรุ่นน้อง อย่างแซค ลาวีน และแพทริค วิลเลียมส์ ที่ได้เรียนรู้ว่าผู้นำ ต้องยืนหยัดในจังหวะที่ทีม ต้องการความมั่นใจ และนั่นคือสิ่งที่เดอโรซาน แสดงให้เห็นทุกครั้ง เมื่อเขายิง mid-range ท่ามกลางความกดดัน
เดอโรซานในวัย 34 ปี ยังคงเป็นผู้เล่นตัวหลัก และแม้ว่าชิคาโก บูลส์จะยังวนเวียน อยู่ในรอบเพลย์อิน แต่เขายังเป็นผู้จุดไฟให้ทีม ในยามที่ดูเหมือนแสงสว่าง จะดับลงแล้ว เขายังทำคะแนนเฉลี่ยเกิน 20 แต้มต่อเกม แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้อยู่ในสนาม เพราะชื่อเสียงในอดีต แต่เพราะคุณค่าในปัจจุบัน ที่ยังลุกโชน
ศิลปะของความ “ดื้อ”
ในอีกมุมหนึ่ง เดอโรซานคือศิลปิน แห่งความดื้อ ดื้อที่จะไม่เปลี่ยน ดื้อที่จะรักษาเกมแบบ mid-range เอาไว้ ดื้อที่จะใช้ฟุตเวิร์ก มากกว่าระเบิดพลัง แบบสัตว์นักล่าอย่าง หมาป่า
แต่นี่ไม่ใช่ความดื้อแบบหัวรั้น มันคือความเข้าใจ ในจุดแข็งของตนเอง อย่างถ่องแท้ และศรัทธาว่า สิ่งที่เขาทำ ไม่ได้ล้าสมัย แต่เพียงแค่โลกนี้ ยังไม่เข้าใจมันมากพอ
ท้ายที่สุดแล้ว เดอโรซานไม่ได้เขียนเรื่องราวของเขา ด้วยสามแต้ม หรือคลิปไวรัล แต่เขาเขียนมัน ด้วยความนิ่ง ที่สะกดสนาม ความแม่นที่ไม่รีบเร่ง เขาคือขุนพล ผ้าใบแดงที่ยังคงยืนอยู่กลางสนาม และในโลกที่เร่งทุกอย่างให้ไว บางที การหยุดเพื่อยิงกลางระยะ อาจคือการก้าวที่แม่นยำที่สุด ก็เป็นได้
เพราะเขาไม่เพียงแค่ยิงแม่น แต่เขาคุมจังหวะได้ราวกับ ผู้กำกับเกม เขาใช้ฟุตเวิร์กอย่างประณีต อ่านแนวรับ แล้วเลือกปล่อยบอล ในระยะที่ฝ่ายตรงข้าม ไม่พร้อมรับมือ ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นที่ทีม พึ่งพาในช่วงเวลาชี้ขาด
แม้จะอยู่ในช่วงปลายอาชีพ แต่เขายังทำแต้มเฉลี่ยเกิน 20 ต่อเกม และยังแบกเกมรุกของชิคาโก บูลส์ไว้อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่น่าจับตามอง ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือความสม่ำเสมอ และความแน่วแน่ ที่เขาแสดงให้เห็นในทุกเกม