
ความเป็นมา เทเบิลเทนนิส ทำไมถึงกลายเป็นหนึ่ง ในกีฬาระดับโลก ที่มีการแข่งขันตั้งแต่ ระดับโรงเรียนไปจนถึงโอลิมปิก? เทเบิลเทนนิส หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า “ปิงปอง” อาจดูเหมือนเกมเล่นสนุกตามบ้าน โรงเรียน แต่แท้จริงแล้ว เบื้องหลังของมัน มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ประวัติของเทเบิลเทนนิส เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ประมาณปี ค.ศ. 1880 ในประเทศอังกฤษ เมื่อชนชั้นสูง เริ่มมองหากิจกรรมยามว่าง ที่สามารถเล่นภายในอาคาร แทนการเล่นเทนนิสกลางแจ้งในช่วงฤดูหนาว ตอนแรกยังไม่มีอุปกรณ์ที่ชัดเจน บางคนใช้ฝาขวดแชมเปญ แทนลูกบอล ใช้หนังสือ หรือฝ่ามือแทนไม้ตี
และใช้แถวของหนังสือ เรียงกลางโต๊ะแทนตาข่าย จนกระทั่งปี ค.ศ. 1890 บริษัท J. Jacques & Son Ltd. ในลอนดอนเป็นผู้ที่นำชื่อ Ping-Pong มาใช้เป็นครั้งแรก จากเสียงกระทบโต๊ะของลูกบอล และเสียงไม้ตี ทำให้คำนี้ กลายเป็นชื่อเรียกติดปาก ของคนทั่วโลก ในเวลาต่อมา (19 กันยายน 2024) [1]
ในปี ค.ศ. 1901 มีการจัดการแข่งขัน Ping-Pong อย่างเป็นทางการครั้งแรก ในกรุงลอนดอน และภายในปีเดียวกัน ลูกเซลลูลอยด์ ซึ่งมีน้ำหนักเบา และเด้งดี เริ่มถูกนำมาใช้แทน ลูกบอลกระดาษเดิม ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เกมมีความเร็ว สนุกมากขึ้น หลังจากนั้นกีฬานี้ แพร่กระจายไปยังยุโรปเอเชียอย่างรวดเร็ว โดยญี่ปุ่น – จีน เริ่มนำไปเล่นช่วงทศวรรษ 1920
ในด้านการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศ สหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ หรือ International Table Tennis Federation (ITTF) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1926 โดยมีสมาชิกเริ่มต้น 9 ประเทศ และในปีเดียวกัน ได้มีการจัดการแข่งขัน ชิงแชมป์โลกครั้งแรก ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (17 พฤศจิกายน 2024) [2]
ก่อนจะเริ่มต้นเล่นเทเบิลเทนนิสอย่างจริงจัง มีหลายสิ่งที่ผู้เล่นควรรู้จัก ให้ดีเสียก่อน เพื่อไม่ให้เสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม สิ่งแรกคือความเข้าใจในอุปกรณ์ เพราะไม้ปิงปองแต่ละแบบ ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย บางไม้เน้นพลัง บางไม้เน้นสปิน บางไม้คุมลูกได้ดี แต่ตีไม่แรง หากเลือกผิดตั้งแต่ต้น ต่อให้ฝึกหนักแค่ไหน ก็อาจไปไม่ถึงศักยภาพ ที่แท้จริงของตัวเอง ต่อมาคือลูกปิงปอง ซึ่งแม้จะดูเหมือนลูกกลมสีขาวทั่วไป
แต่ในระดับการแข่งขันจริง จะใช้ลูกมาตรฐานขนาด 40 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2.7 กรัม และมีระดับคุณภาพแบ่งตามดาว ยิ่งดาวมากยิ่งนิ่ง และเด้งเสถียร ส่วนโต๊ะเองก็มีขนาดตายตัว ไม่สามารถตีเล่นบนโต๊ะกินข้าว แล้วหวังว่า จะได้ความรู้สึกเหมือนเกมจริง เพราะระดับความเด้งของพื้นผิว มีผลมหาศาล ต่อการอ่านลูก
ก่อนที่จะลงสนามจริง การรู้จักประเภท การแข่งขันเทเบิลเทนนิส จะช่วยให้เข้าใจรูปแบบเกม และวิธีการวางกลยุทธ์ เพราะแต่ละประเภท มีวิธีเล่น กติกาที่แตกต่างกัน แม้พื้นฐานการตีลูกจะเหมือนกัน แต่รูปแบบการแข่งขัน จะส่งผลต่อวิธีการเสิร์ฟ การวางตำแหน่ง และการรับลูก
เริ่มจาก การเสิร์ฟ การเสิร์ฟที่แม่นยำ และมีสปินจะช่วยสร้าง ความได้เปรียบ ตั้งแต่แต้มแรก ต่อมาคือ การตีลูกสปิน ซึ่งแบ่งเป็นลูก Topspin ที่ลูกหมุนไปข้างหน้า ทำให้แรงและเด้งสูง และลูก Backspin ที่ลูกหมุนถอยหลัง ทำให้คู่แข่งตีคืนยาก
อีกเทคนิคสำคัญคือ การเคลื่อนไหวเท้า (Footwork) เพราะเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬา ที่ใช้ปฏิกิริยารวดเร็ว การเคลื่อนตัวให้พร้อมในทุกทิศทาง จะทำให้ผู้เล่น สามารถรับลูก และตอบสนองต่อมุมตี ของคู่แข่งได้รวดเร็ว การจัดตำแหน่งตัวเองให้เหมาะสม กับลูกที่เข้ามา ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญ (18 กรกฎาคม 2024) [3]
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคขั้นสูง เช่น การตีลูกสั้น และลูกยาวสลับกัน (Push/Drive) การใช้ การหลอกทิศทางลูก (Feint/Deception) และการวางลูกให้ เปลี่ยนจังหวะและมุม เพื่อสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่ง ซึ่งผู้เล่นมืออาชีพ มักใช้ร่วมกับการอ่านเกม และการสังเกตจังหวะ การเคลื่อนไหวของคู่แข่ง
สรุป ความเป็นมา เทเบิลเทนนิส เริ่มต้นจากเกมเล่นในร่มของอังกฤษ ก่อนพัฒนาเป็นกีฬาสากลมีการแข่งขันและกติกามาตรฐาน โดย ITTF ทำให้เทเบิลเทนนิส เป็นทั้งกีฬา และเกมกลยุทธ์ที่ท้าทาย เช่นเดียวกับ ซุมบ้า คืออะไร
เริ่มใช้เมื่อปี ค.ศ. 2001 เพื่อทำให้เกมเร็วและตื่นเต้นขึ้น ก่อนหน้านั้นใช้ระบบ 21 คะแนนต่อเกม ซึ่งการแข่งขันมักกินเวลานาน – ช้ากว่า
เพราะช่วยให้ผู้เล่น อยู่ในตำแหน่ง ที่พร้อมรับลูกทุกมุม การยืนและก้าวเท้าอย่างถูกต้อง ช่วยเพิ่มความเร็ว และความแม่นยำในการตีลูก หากเคลื่อนไหวเท้าไม่ดี จะทำให้ตอบสนองช้า เสียแต้มง่าย แม้มีทักษะการตีที่ดีแค่ไหน ก็ไม่เพียงพอ