
ปลากระโทงดาบ อันตรายไหม สัตว์น้ำที่น่าเกรงขาม และน่าทึ่งที่สุดในมหาสมุทร หลายคนจึงอาจสงสัยว่า ปลาชนิดนี้ เป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ หรือ ดาบของมัน สามารถทำร้ายคนได้จริงหรือเปล่า
ปลากระโทงดาบ (Swordfish) เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่ ลำตัวมีรูปร่างเพรียวยาว กล้ามเนื้อแข็งแรง และมีสีเงินอมฟ้า เมื่อสะท้อนแสงแดดในน้ำลึก ส่วนดาบ หรือปากยาว ที่แหลมคมของมัน ไม่เพียงใช้ฟันเหยื่อ แต่ยังใช้ฟาดฟันฝูงปลาเล็ก ให้สลบ บาดเจ็บ เพื่อจับกินได้ง่ายขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า ดาบนี้ช่วยลดแรงต้านน้ำขณะว่าย ทำให้ปลากระโทงดาบ สามารถเร่งความเร็วได้มากขึ้นพฤติกรรมของปลากระโทงดาบ ค่อนข้างโดดเดี่ยว มักออกล่าในช่วงกลางคืน โดยไล่ตามเหยื่อ เช่น ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และหมึกยักษ์ พวกมันสามารถ ดำดิ่งลงไปได้ลึกกว่า 500 เมตร เพื่อหาอาหาร และขึ้นมาบริเวณผิวน้ำ (2018-2021) [1]
เมื่ออุณหภูมิ และสภาพแวดล้อมเหมาะสม ความเร็วสูงสุดที่บันทึกได้ ของปลากระโทงดาบอาจเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เป็นหนึ่งในนักล่า ที่รวดเร็วที่สุดในทะเล แม้จะดูน่าเกรงขาม แต่ปลากระโทงดาบ ก็เผชิญความเสี่ยง จากการทำประมงเกินขนาด และการติดอวนโดยไม่ตั้งใจ ปัจจุบันหลายพื้นที่ มีมาตรการจำกัดการจับ เพื่อลดผลกระทบ ต่อประชากรในธรรมชาติ
ปลากระโทงดาบได้รับการรู้จัก และบันทึกในประวัติศาสตร์ ธรรมชาติมานานหลายร้อยปี โดยในทางวิทยาศาสตร์ ปลากระโทงดาบถูกจัดจำแนก พร้อมทั้งตั้งชื่อทางชีววิทยา ครั้งแรกในศตวรรษที่ 18 (คือช่วงปี 1701 – 1800)
ทำให้นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน Carl Linnaeus ซึ่งเป็นบิดา แห่งการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต ได้บรรยาย และตั้งชื่อปลากระโทงดาบ ในงานตีพิมพ์ของเขาในปี 1758 โดยใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Xiphias gladius
ปลากระโทงดาบเป็นปลาทะเล ที่มีถิ่นอาศัยกว้างขวาง พบได้ในมหาสมุทรเขตร้อน และเขตอบอุ่นทั่วโลก รวมถึงมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดีย โดยพวกมันสามารถ ปรับตัวให้อยู่อาศัยได้ ในหลากหลายสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ผิวน้ำ ไปจนถึงความลึก ระดับกลางของทะเล ประมาณ 200 – 600 เมตร เช่นเดียวกับ ปูเยติ ลักษณะ
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่อาศัยอยู่ในเขตทะเลลึก ปลากระโทงดาบมักพบในพื้นที่ ที่มีแสงสว่างน้อย และมีอุณหภูมิน้ำ ค่อนข้างเย็น โดยพวกมันใช้โครงสร้างลำตัว ที่เพรียวบาง และครีบที่ยาวเรียว ช่วยให้ว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว และคล่องแคล่ว เพื่อไล่ล่าเหยื่อหรือหลบหลีกศัตรู (16 ธันวาคม 2024) [2]
ปลาที่เป็นอาหาร ของปลากระโทงดาบ มักจะเป็นปลาขนาดเล็ก หรือปลากลาง เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน และปลาชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน พวกมันจะใช้ความว่องไว และปากยาวแหลม ที่เหมือนดาบ ฟาดหรือแทงเหยื่อ เพื่อทำให้เหยื่อบาดเจ็บ เคลื่อนไหวช้าลง จากนั้นจึงจับกินได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ หมึกเป็นอีกหนึ่งอาหารสำคัญ ของปลากระโทงดาบ โดยเฉพาะหมึกชนิด ที่อาศัยในน้ำลึกซึ่ง มีจำนวนมากในทะเล หมึกมีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นแหล่งพลังงานที่ดี สำหรับปลากระโทงดาบ ในการดำรงชีวิต เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในน้ำ
ปลากระโทงดาบมีตำนานความโหด และดุร้าย เพราะรูปลักษณ์ที่น่ากลัว พฤติกรรมล่าที่รุนแรง รวมถึงความเร็วสูง พละกำลังมหาศาล ที่สามารถทำลายเหยื่อ หรือสิ่งกีดขวางได้อย่างง่ายดาย ในประวัติศาสตร์ และข่าวสาร มีรายงานเหตุการณ์ ที่ปลากระโทงดาบทำร้ายมนุษย์ หรือสร้างความเสียหาย เช่น (20 มีนาคม 2025) [3]
ปลาทะเลที่มีการอพยพระยะไกล ตามฤดูกาล สภาพแวดล้อมทางทะเล โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสม ต่อการหาอาหาร และวางไข่ พวกมันมักอาศัยในน่านน้ำลึก กลางมหาสมุทร แต่สามารถเคลื่อนย้าย ข้ามมหาสมุทรได้หลายพันกิโลเมตร
ในฤดูหนาว ปลากระโทงดาบมักอพยพ ไปยังเขตร้อน – กึ่งร้อน เพื่อใช้เป็นพื้นที่ผสมพันธุ์ เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยให้ไข่ กับตัวอ่อนรอดสูงขึ้น ส่วนในฤดูร้อน พวกมันจะเคลื่อนตัวขึ้นไปยัง เขตอบอุ่น หรือเขตหนาวมากขึ้น เพื่อหาอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน และหมึก
การอพยพของปลากระโทงดาบ ยังสัมพันธ์กับกระแสน้ำ และอุณหภูมิของน้ำทะเล โดยพวกมันจะติดตามกระแสน้ำเย็น ซึ่งมักพัดพาเหยื่อจำนวนมาก ทำให้สามารถ หาอาหารได้ง่ายขึ้น ลักษณะการอพยพเช่นนี้ ทำให้ปลากระโทงดาบเป็น หนึ่งในนักเดินทางไกลของท้องทะเล และยังเป็นเหตุผลว่า ทำไมจึงพบพวกมันได้ทั้งในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดีย
สรุป ปลากระโทงดาบ อันตรายไหม โดยธรรมชาติไม่ใช่ปลาที่จู่โจมมนุษย์อย่างตั้งใจ แต่ด้วยดาบปากยาวแหลมและพละกำลังมหาศาล ทำให้หากมีการปะทะหรือถูกรบกวน อาจก่อให้เกิดบาดเจ็บรุนแรงได้ ดังนั้น ปลากระโทงดาบถือว่าอันตรายเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มันรู้สึกถูกคุกคามหรือถูกกระตุ้น
ปลากระโทงดาบมีอายุขัยเฉลี่ย ประมาณ 9 – 10 ปี และในบางกรณี สามารถมีชีวิตยืนยาว ได้ถึงราว 15 ปีในธรรมชาติ อายุขัยของมัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วย
ปลากระโทงดาบจะมีฤดูกาลวางไข่ แตกต่างกันตามภูมิภาค โดยมักเกิดในช่วงน้ำอุ่นของปี เช่น ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ในเขตร้อนอาจวางไข่ ได้หลายครั้งต่อปี ขณะที่ในเขตอบอุ่น มักวางไข่เพียงช่วงสั้นๆ เพื่อให้ตัวอ่อน มีโอกาสรอดสูงสุด