ที่มาของ ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร ?

ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร

ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร ทำไมการออกกำลังกายแบบนี้ถึงช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดี และเหมาะกับทุกระดับความฟิต มาค้นพบวิธีออกกำลังกายที่ผสมผสานความสนุก ความท้าทาย

  • ปั่นจักรยานใต้น้ำ คืออะไร
  • ประวัติของปั่นจักรยานใต้น้ำมีที่มาอย่างไร?
  • ประโยชน์ด้านสุขภาพ มีอะไรบ้าง?

ปั่นจักรยานใต้น้ำ คืออะไร

ปั่นจักรยานใต้น้ำ (Aqua Cycling / Hydrospinning) เป็นรูปแบบการออกกำลังกาย ที่เริ่มได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายในยุโรป ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2010 และแพร่ขยายมาสู่เอเชีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังปี 2020 ที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ และการฟื้นฟูร่างกาย หลังการเจ็บป่วยมากขึ้น

กิจกรรมนี้เป็นการผสมผสาน ระหว่างการปั่นจักรยาน กับการออกกำลังกายในน้ำ โดยจักรยานจะถูกตั้งอยู่ในสระน้ำ ที่มีความลึกประมาณ ระดับเอวถึงหน้าอก เพื่อให้ผู้เล่นสามารถปั่นได้อย่างอิสระ น้ำจะทำหน้าที่ เป็นแรงต้านธรรมชาติ ช่วยให้การปั่น ต้องออกแรงมากกว่า การปั่นบนบกถึง 40 – 50% แต่ในขณะเดียวกัน ก็ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ และกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ (10 กันยายน 2024) [1]

ด้วยคุณสมบัตินี้เอง การปั่นจักรยานใต้น้ำ จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยม ในโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพของหลายคลินิกและศูนย์กายภาพบำบัดทั่วโลก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการ ออกกำลังกายแบบ คาร์ดิโอ มีอะไรบ้าง ควบคู่กับการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

ประวัติของปั่นจักรยานใต้น้ำ

ต้นกำเนิดของกิจกรรมนี้ สามารถย้อนไปได้ถึงช่วง ปลายทศวรรษ 1990 ในประเทศ อิตาลี โดยนักกายภาพบำบัดชาวอิตาเลียนได้นำ “จักรยานออกกำลังกาย” มาทดลองใช้ในสระน้ำ เพื่อช่วยผู้ป่วยที่กำลังฟื้นฟูร่างกาย หลังการผ่าตัดหัวเข่าหรือข้อเท้า แนวคิดนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะน้ำช่วยพยุงน้ำหนักตัว ลดแรงกระแทก และช่วยให้ขยับร่างกายได้โดยไม่เจ็บปวด

ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 2000 การปั่นจักรยานใต้น้ำ ได้เริ่มถูกพัฒนาให้เป็นคลาส ออกกำลังกายเชิงฟิตเนส โดยเฉพาะในประเทศ ฝรั่งเศส และ เบลเยียม ซึ่งเป็นประเทศแรกๆ ที่นำแนวคิดนี้ เข้าสู่สตูดิโอฟิตเนส มีการออกแบบจักรยานเฉพาะสำหรับใช้งานในน้ำ พร้อมปรับระดับแรงต้านได้ และเพิ่มจังหวะดนตรี เพื่อสร้างความสนุก คล้ายการปั่นจักรยานในคลาสสปินนิ่ง

ท่าพื้นฐานในการปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นแบบไหน ?

ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร
  • ท่านั่งบนจักรยาน  นั่งให้หลังตรง ไม่เอนไปข้างหน้าเกินไป หรือก้มหลังจนโค้งเกินไป เท้าวางบนแป้นอย่างมั่นคง น้ำจะช่วยรับแรงกระแทก ลดความเสี่ยงต่อเข่าและข้อเท้า
  • ปั่นแบบราบเรียบ (Flat Pedaling) ปั่นเหมือนจักรยานปกติ แต่ใช้แรงต้านจากน้ำ ทำให้ต้องใช้แรงขาเพิ่มขึ้นเน้นความสม่ำเสมอ และรักษาจังหวะลมหายใจ (1 กันยายน 2021) [2]
  • ปั่นขึ้นเนิน (Resistance Pedaling) ใช้แรงต้านจากน้ำเต็มที่ เหมือนปั่นขึ้นเนินบนบก ขาและสะโพกจะได้ออกแรงมากขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    ปั่นแบบสลับขา (Intervals) ปั่นเร็วและช้าเป็นช่วงๆ เพื่อกระตุ้นหัวใจ และเผาผลาญแคลอรี ใช้ทั้งขาและลำตัวในการทรงตัว

ปั่นจักรยานใต้น้ำกับการฟื้นฟูร่างกาย

เคยได้ยินไหมว่า การออกกำลังกายที่อยู่ในน้ำ สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกาย ได้ดีกว่าบนบก การปั่นจักรยานใต้น้ำ กำลังเป็นวิธีออกกำลังกายแนวใหม่ ที่ได้รับความนิยม ในวงการฟื้นฟูสุขภาพ

ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและข้อต่อ : การปั่นในน้ำช่วยให้กล้ามเนื้อขา สะโพก และลำตัวทำงานเต็มที่ แต่แรงกระแทกต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ฟื้นตัว จากการบาดเจ็บหรือผ่าตัด

กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด : น้ำช่วยเพิ่มแรงต้าน ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการบวม และป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในผู้ที่พักฟื้น

ปรับสมดุลและความแข็งแรงของร่างกาย : การทรงตัวบนจักรยานใต้น้ำ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ แกนกลางลำตัว และเพิ่มความยืดหยุ่น

ลดความเครียดและการปวดหลัง : การเคลื่อนไหวใต้น้ำ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดแรงกดทับกระดูกสันหลัง และช่วยให้การฟื้นตัว เป็นไปอย่างอ่อนโยน

แรงต้านจากน้ำ ช่วยเพิ่มพลังงานได้จริงหรือ ?

น้ำมีความหนาแน่น มากกว่าอากาศถึงประมาณ 800 เท่า ซึ่งหมายความว่า ทุกการเคลื่อนไหวในน้ำ ต้องออกแรงมากกว่าบนบกมาก ทำให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มขึ้น

  • แรงต้านเกิดขึ้นรอบทิศทาง (360 องศา) เมื่อปั่นจักรยานใต้น้ำ กล้ามเนื้อทุกส่วนต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเอาชนะแรงต้านของน้ำ ไม่ใช่แค่ขา แต่รวมถึงหน้าท้อง หลัง และแขนด้วย
  • ร่างกายต้องรักษาสมดุล อยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหวในน้ำ ทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อแกนกลาง เพื่อทรงตัวอยู่ตลอด ส่งผลให้การเผาผลาญพลังงาน สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
  • อัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย เพราะแรงต้านน้ำ ทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น ร่างกายจึงใช้ออกซิเจนมากขึ้น เป็นการฝึกแบบคาร์ดิโอ ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ มีประสิทธิภาพ (01 กุมภาพันธ์ 2023) [3]
  • ผลวิจัยสนับสนุน งานวิจัยในปี ค.ศ. 2017 (Journal of Sports Science & Medicine) พบว่าผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานใต้น้ำ มีอัตราการใช้พลังงานมากกว่า การปั่นบนบกเฉลี่ย 15 – 20% ในระยะเวลาเท่ากัน

ข้อควรระวังที่อาจต้องระวัง

  • ตรวจสุขภาพก่อนเริ่ม ผู้ที่มีโรคหัวใจ ความดันสูง โรคข้อหรือกล้ามเนื้อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก เพื่อป้องกันความเสี่ยง
  • เริ่มด้วยระดับเบา สำหรับผู้เริ่มต้น ควรปั่นด้วยความเร็ว และแรงต้านต่ำก่อน แล้วค่อยเพิ่มระดับ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
  • ระวังการทรงตัว แม้น้ำช่วยรับแรง แต่จักรยานใต้น้ำอาจลื่นได้ ควรตรวจสอบการตั้งจักรยานให้มั่นคง และสวมรองเท้าหรือถุงเท้าน้ำเพื่อป้องกันลื่น
  • ควบคุมลมหายใจ การปั่นใต้น้ำอาจทำให้หายใจเร็วหรือหอบ ควรฝึกหายใจสม่ำเสมอและไม่กดตัวเองเกินไป

สรุป ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร

สรุป ปั่นจักรยานใต้น้ำ เป็นอย่างไร เป็นการออกกำลังกาย ที่รวมการปั่นจักรยานกับแรงต้านของน้ำ ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ข้อต่อแข็งแรง และปรับสมดุลร่างกายได้อย่างปลอดภัย

ใช้เวลาปั่นนานเท่าไร ถึงเห็นผล ?

โดยทั่วไปการปั่นจักรยานใต้น้ำควรใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาทีต่อครั้ง และทำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง เพื่อเริ่มเห็นผลด้านความแข็งแรง และการเผาผลาญพลังงาน ภายในระยะเวลา ประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มปรับตัว กล้ามเนื้อกระชับขึ้น และระบบไหลเวียนเลือด ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ต้องใช้จักรยานแบบพิเศษในการปั่นหรือไม่?

การปั่นจักรยานใต้น้ำ ต้องใช้จักรยานแบบพิเศษ ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับใช้งานในน้ำ ทำจากวัสดุป้องกันสนิม เช่น สแตนเลสหรืออะลูมิเนียม และมีฐานยึดกันลื่น เพื่อความปลอดภัย จักรยานชนิดนี้ยังสามารถ ปรับแรงต้านตามความลึกของน้ำได้ เพื่อให้เหมาะกับระดับการฝึกของแต่ละคน

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง