ลงทุน ในแบรนด์หรู ทำไมถึงน่าสนใจในยุคเงินเฟ้อ

ลงทุน ในแบรนด์หรู

ลงทุน ในแบรนด์หรู ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า Hermès Birkin, นาฬิกา Rolex หรือสินค้าหายากจาก Chanel ของเหล่านี้กำลังได้รับการมองใหม่ในฐานะ “สินทรัพย์ลงทุน” มากกว่าแค่ไอเท็มแฟชั่น เพราะบางรุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี และมีตลาดรองรองรับจริงจังทั่วโลก บทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโลกของการลงทุนในแบรนด์หรู แบบรอบด้าน

  • ทำไมการลงทุนในแบรนด์หรูถึงน่าสนใจในยุคเงินเฟ้อ
  • ลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมหรูและ 5 แบรนด์นาฬิกาหรู
  • ลงทุนอย่างไร ไม่ให้กลายเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
  • ตลาดมือสอง ของแบรนด์หรู
  • เริ่มต้นลงทุนในแบรนด์หรูอย่างไร ให้คุ้มค่าในระยะยาว

ทำไมการลงทุนในแบรนด์หรู ถึงน่าสนใจในยุคเงินเฟ้อ

ในยุคที่เงินเฟ้อกัดกินมูลค่าเงินสด การมองหาทรัพย์สินที่รักษามูลค่าได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนในแบรนด์หรูเช่น Hermès, Rolex และ Chanel

สินค้ากลุ่มนี้ไม่ได้แค่สวยงาม แต่ยังมีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น กระเป๋า Hermès Birkin ที่บางรุ่นราคามือสองสูงกว่าราคาช็อป หรือ Rolex ที่หลายรุ่นมีราคาขายต่อแข็งแรงตลอดเวลา ส่วน Chanel ก็ขึ้นราคาทุกปีแบบไม่แคร์ภาวะเศรษฐกิจ [1]

ที่น่าสนใจคือความต้องการในตลาดรองยังคงสูง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะของหายากย่อมมีคุณค่าเสมอ และในขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนก็เริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น ลงทุน ในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเน้นความทันสมัย และโอกาสเติบโตในอนาคตควบคู่กันไป

ลงทุนในกระเป๋าแบรนด์เนมหรู เทรนด์หรือการลงทุนจริงจัง?

ในยุคที่การลงทุน มีหลากหลายรูปแบบ ไม่แปลกที่ “กระเป๋าแบรนด์เนมหรู” จะเริ่มถูกพูดถึง ในฐานะสินทรัพย์อีกประเภท โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมอย่าง Hermès Birkin ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 10% บางรุ่นหายาก ราคาพุ่งสูงกว่าทองคำ หรือตลาดหุ้น ในช่วงเวลาเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกระเป๋าไม่ได้ง่าย และปลอดภัย เหมือนฝากธนาคาร สิ่งที่ต้องระวังคือ ของปลอม ที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อซื้อผ่านตลาดมือสอง อีกทั้งยังมี ภาษีศุลกากร และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ

เมื่อเทียบกับหุ้น หรือทอง กระเป๋าแบรนด์หรูอาจไม่ให้ผลตอบแทนเร็ว แต่มีข้อดีคือจับต้องได้ และในบางกรณีขายต่อได้กำไรจริง หากรู้จักเลือกแบรนด์ เลือกรุ่น และดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

5 แบรนด์นาฬิกาหรู ที่นักลงทุนสายสะสม ไม่ควรมองข้าม

  • Rolex – แบรนด์นาฬิกาที่ราคามือสองแข็งแรงที่สุด รุ่นฮิตอย่าง Submariner หรือ Daytona มักขายต่อได้สูงกว่าราคาป้าย ด้วยความต้องการสูง
  • Patek Philippe – ขึ้นชื่อเรื่องความหายากและมูลค่าที่พุ่งแรง รุ่น Nautilus 5711 คือหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่ราคาขยับจากหลักแสนเป็นหลักล้านในเวลาไม่กี่ปี
  • Audemars Piguet – รุ่น Royal Oak คือไอคอนแห่งความหรู และงานฝีมือที่แท้จริง ความนิยมจากนักสะสมทั่วโลกผลักดันให้ราคาตลาดรองขยับขึ้นต่อเนื่อง
  • Richard Mille – โดดเด่นด้วยดีไซน์ล้ำและผลิตจำนวนจำกัด บางรุ่นราคาทะลุหลายสิบล้าน และยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดระดับไฮเอนด์
  • Omega – แม้ราคาจะไม่พุ่งแรงเท่าแบรนด์อื่น แต่รุ่นพิเศษอย่าง Speedmaster ที่เชื่อมโยงกับ NASA ก็ยังได้รับความนิยม และมีแนวโน้มราคาขึ้นต่อเนื่อง

ที่มา: Do Rolex Submariners Hold Their Value? [2]

ลงทุนอย่างไร ไม่ให้กลายเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

  • การใช้เงินกับของหรูไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าจะ “ลงทุน” จริงๆ ก็ต้องรู้จักแยกให้ออกระหว่าง “ของใช้หรู” กับ “สินทรัพย์หรู” เพราะแม้จะมีราคาสูงเหมือนกัน แต่คุณค่าในระยะยาวนั้นต่างกันคนละเรื่อง
  • ซื้อเพื่อใช้ คือการซื้อเพราะความชอบ ใช้จริง ใส่จริง อย่างเช่น กระเป๋าแบรนด์เนมที่ตามใจตัวเองโดยไม่สนใจรุ่นหรือสภาพ หรือรองเท้าแฟชั่นที่แม้จะแพง แต่ใช้แล้วมูลค่าตกทันที
  • ซื้อเพื่อเก็บและลงทุน คือการเลือกอย่างมีเป้าหมาย มองหาไอเท็มที่มีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มเช่น Hermès Birkin รุ่นคลาสสิก สีฮิต สภาพดี ราคาขึ้นทุกปี หรือ Rolex Submariner ที่ราคามือสองยังแรงไม่ตก
  • ในทางกลับกัน ของหรูบางอย่างอาจดูน่าซื้อแต่ราคาตกเร็ว ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์แฟชั่นตามซีซัน หรือกระเป๋าที่มีลวดลายเฉพาะช่วง ค่อนข้างขายต่อยาก และมูลค่าลดทันทีหลังซื้อ

ตลาดมือสองของแบรนด์หรู โอกาสทองของนักลงทุนหน้าใหม่จริงหรือ?

การลงทุนในสินค้าหรูไม่จำเป็นต้องเริ่มจากของใหม่แกะกล่องเสมอไป “ตลาดมือสอง” หรือ Resale Market กลายเป็นช่องทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าถึงสินทรัพย์แบรนด์หรูในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในแบรนด์หรูมือสองก็มีความเสี่ยงไม่น้อย เช่น ของปลอมที่แนบเนียนมากขึ้น, ราคาที่ผันผวนตามกระแส, หรือ สภาพสินค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าขายต่อ

เคล็ดลับสำหรับมือใหม่คือ เริ่มจากแบรนด์ที่มีมูลค่าแข็ง อย่างเช่น Hermès, Rolex, Chanel ศึกษาราคาตลาดอย่างสม่ำเสมอ และซื้อผ่านช่องทางที่มีการรับรองของแท้ เพื่อป้องกันความผิดพลาด

เริ่มต้นลงทุนในแบรนด์หรูอย่างไร ให้คุ้มค่าในระยะยาว

  • วางงบประมาณให้ชัด: อย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อเพราะกลัวของหมดหรือราคาขึ้น สิ่งแรกคือต้องรู้ว่าเรามีงบเท่าไร และเงินก้อนนี้ไม่กระทบ กับค่าใช้จ่ายหลัก
  • ศึกษาแบรนด์ และสินค้ายอดนิยม: เริ่มจากแบรนด์ที่มูลค่ามั่นคง แล้วเจาะลึกแต่ละรุ่นที่ “คนอยากได้” ไม่ใช่แค่ “เราชอบ” เช่น Birkin สีคลาสสิก หรือ Rolex รุ่นยอดนิยม
  • วางแผนการขายต่อ: ถ้าคิดจะลงทุน ต้องคิดถึง “ทางออก” ตั้งแต่ต้น รู้ว่าตลาดไหนขายได้ดี ช่องทางไหนน่าเชื่อถือเช่น เว็บไซต์ resale ที่มีบริการตรวจสอบของแท้ หรือร้าน consignment
  • ดูแลรักษาให้เหมือนเก็บทองคำ: สินค้าหรูมีมูลค่าเพราะสภาพ ถ้าดูแลดี มูลค่าก็อยู่ครบ อย่างเช่น ไม่ใช้กระเป๋าเกินจำเป็น เก็บในถุงผ้า หลีกเลี่ยงความชื้น หรือนำไปเซอร์วิสบำรุงตามรอบ

ที่มา: The Luxurious Route to Wealth: Which Luxury Items Are Good Investments? [3]

ข้อสรุป ลงทุน ในแบรนด์หรู ทางเลือกใหม่การลงทุนระยะยาว

ลงทุน ในแบรนด์หรู

สรุปแล้ว ลงทุน ในแบรนด์หรู เราจะเห็นได้ชัดว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่นหรือภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่คือการบริหารเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ในรูปแบบที่จับต้องได้ ทั้งกระเป๋า นาฬิกา หรือของสะสมระดับไอคอนิก ล้วนมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า หากเลือกแบรนด์ให้ถูก รู้จักจังหวะการซื้อ-ขาย และดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้

การลงทุนในแบรนด์หรูต้องจดทะเบียน หรือเสียภาษีอย่างไร ในประเทศไทย?

โดยทั่วไป หากซื้อเพื่อใช้ส่วนตัว ไม่ต้องจดทะเบียนใดๆ แต่หากมีการซื้อ – ขายต่ออย่างสม่ำเสมอ หรือทำเป็นรายได้ประจำ อาจเข้าข่าย “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” และมีภาระภาษีเงินได้ รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ในบางกรณี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี หรือบัญชีเพื่อความมั่นใจ

แบรนด์หรูประเภทใด ที่ไม่แนะนำให้ลงทุนในระยะยาว?

สินค้าหรูที่มูลค่าลดลงเร็ว เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นตามฤดูกาล, กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดเฉพาะเทศกาล หรือไอเท็มที่ไม่ใช่รุ่นคลาสสิกของแบรนด์ มักไม่มีตลาดรองที่แข็งแรง ทำให้ขายต่อยาก และราคาตกเร็ว ไม่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง