
ลงทุน ในแบรนด์หรู ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า Hermès Birkin, นาฬิกา Rolex หรือสินค้าหายากจาก Chanel ของเหล่านี้กำลังได้รับการมองใหม่ในฐานะ “สินทรัพย์ลงทุน” มากกว่าแค่ไอเท็มแฟชั่น เพราะบางรุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี และมีตลาดรองรองรับจริงจังทั่วโลก บทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโลกของการลงทุนในแบรนด์หรู แบบรอบด้าน
ในยุคที่เงินเฟ้อกัดกินมูลค่าเงินสด การมองหาทรัพย์สินที่รักษามูลค่าได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือการลงทุนในแบรนด์หรูเช่น Hermès, Rolex และ Chanel
สินค้ากลุ่มนี้ไม่ได้แค่สวยงาม แต่ยังมีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น กระเป๋า Hermès Birkin ที่บางรุ่นราคามือสองสูงกว่าราคาช็อป หรือ Rolex ที่หลายรุ่นมีราคาขายต่อแข็งแรงตลอดเวลา ส่วน Chanel ก็ขึ้นราคาทุกปีแบบไม่แคร์ภาวะเศรษฐกิจ [1]
ที่น่าสนใจคือความต้องการในตลาดรองยังคงสูง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะของหายากย่อมมีคุณค่าเสมอ และในขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนก็เริ่มหันไปมองทางเลือกอื่น เช่น ลงทุน ในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเน้นความทันสมัย และโอกาสเติบโตในอนาคตควบคู่กันไป
ในยุคที่การลงทุน มีหลากหลายรูปแบบ ไม่แปลกที่ “กระเป๋าแบรนด์เนมหรู” จะเริ่มถูกพูดถึง ในฐานะสินทรัพย์อีกประเภท โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมอย่าง Hermès Birkin ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 10% บางรุ่นหายาก ราคาพุ่งสูงกว่าทองคำ หรือตลาดหุ้น ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกระเป๋าไม่ได้ง่าย และปลอดภัย เหมือนฝากธนาคาร สิ่งที่ต้องระวังคือ ของปลอม ที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อซื้อผ่านตลาดมือสอง อีกทั้งยังมี ภาษีศุลกากร และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ
เมื่อเทียบกับหุ้น หรือทอง กระเป๋าแบรนด์หรูอาจไม่ให้ผลตอบแทนเร็ว แต่มีข้อดีคือจับต้องได้ และในบางกรณีขายต่อได้กำไรจริง หากรู้จักเลือกแบรนด์ เลือกรุ่น และดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
ที่มา: Do Rolex Submariners Hold Their Value? [2]
การลงทุนในสินค้าหรูไม่จำเป็นต้องเริ่มจากของใหม่แกะกล่องเสมอไป “ตลาดมือสอง” หรือ Resale Market กลายเป็นช่องทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าถึงสินทรัพย์แบรนด์หรูในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในแบรนด์หรูมือสองก็มีความเสี่ยงไม่น้อย เช่น ของปลอมที่แนบเนียนมากขึ้น, ราคาที่ผันผวนตามกระแส, หรือ สภาพสินค้าที่ส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าขายต่อ
เคล็ดลับสำหรับมือใหม่คือ เริ่มจากแบรนด์ที่มีมูลค่าแข็ง อย่างเช่น Hermès, Rolex, Chanel ศึกษาราคาตลาดอย่างสม่ำเสมอ และซื้อผ่านช่องทางที่มีการรับรองของแท้ เพื่อป้องกันความผิดพลาด
ที่มา: The Luxurious Route to Wealth: Which Luxury Items Are Good Investments? [3]
สรุปแล้ว ลงทุน ในแบรนด์หรู เราจะเห็นได้ชัดว่า นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่นหรือภาพลักษณ์อีกต่อไป แต่คือการบริหารเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ในรูปแบบที่จับต้องได้ ทั้งกระเป๋า นาฬิกา หรือของสะสมระดับไอคอนิก ล้วนมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า หากเลือกแบรนด์ให้ถูก รู้จักจังหวะการซื้อ-ขาย และดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้
โดยทั่วไป หากซื้อเพื่อใช้ส่วนตัว ไม่ต้องจดทะเบียนใดๆ แต่หากมีการซื้อ – ขายต่ออย่างสม่ำเสมอ หรือทำเป็นรายได้ประจำ อาจเข้าข่าย “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” และมีภาระภาษีเงินได้ รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ในบางกรณี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี หรือบัญชีเพื่อความมั่นใจ
สินค้าหรูที่มูลค่าลดลงเร็ว เช่น เสื้อผ้าแฟชั่นตามฤดูกาล, กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดเฉพาะเทศกาล หรือไอเท็มที่ไม่ใช่รุ่นคลาสสิกของแบรนด์ มักไม่มีตลาดรองที่แข็งแรง ทำให้ขายต่อยาก และราคาตกเร็ว ไม่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว