วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF ฉบับมือใหม่เริ่มยังไงให้เห็นผลจริง

วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF

วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องนับแคลอรีทุกมื้อ และยังช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นอาจสงสัยว่า “ควรเริ่มอย่างไรถึงจะได้ผลจริง” บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจพื้นฐานของ วิธีทำ IFพร้อมเคล็ดลับเริ่มต้นสำหรับมือใหม่

  • ความรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก
  • ประเภทของ IF
  • ข้อควรระวังเกี่ยวกับ วิธีการทำ IF

ทำความรู้จักกับการลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร

การลดน้ำหนักแบบ IF หรือ Intermittent Fasting คือการกำหนดช่วงเวลาในการกินอาหารและงดกินในช่วงเวลาที่เหลือ เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสฟื้นฟูและเผาผลาญพลังงานสะสม การทำ IF ไม่ได้เน้นแค่เรื่องอาหารที่กินเข้าไป แต่โฟกัสที่ “เมื่อไหร่” ที่เราควรกินต่างหาก

แนวทางนี้อาศัยหลักวิทยาศาสตร์เรื่องการทำงานของอินซูลินและการเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยในช่วงที่เราไม่ได้กินอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลง ทำให้ร่างกายสามารถเข้าถึงพลังงานจากไขมันที่สะสมไว้ได้ดีขึ้น นี่คือเหตุผลหลักที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น [1]

การลดน้ำหนักแบบ IF (Intermittent Fasting) คือการจำกัดช่วงเวลาการกิน โดยเน้น “กินเมื่อไหร่” แทนที่จะเน้น “กินอะไร” เช่น รูปแบบยอดนิยมคือ 16/8 คือ อดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินได้ในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง เช่น เที่ยงถึงสองทุ่ม วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ลดการกินจุกจิก

ประเภทของ IF ที่คนไทยนิยมทำ

IF มี2แบบ  ดังนี้:

  • IF แบบ 16:8 – กิน 8 ชั่วโมง อด 16 ชั่วโมง
    รายละเอียด:
    เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มคนเริ่มต้นทำ IF
    ตัวอย่าง: กินได้ตั้งแต่ 12:00 – 20:00 น. และงดกินตั้งแต่ 20:00 – 12:00 น. ของวันถัดไป
    ช่วง 8 ชั่วโมงสามารถกินอาหารตามปกติ (เน้นอาหารดีมีประโยชน์)
    ช่วง 16 ชั่วโมง อนุญาตเฉพาะน้ำเปล่า ชาไม่หวาน กาแฟดำ
  •  IF แบบ 5:2 – กินปกติ 5 วัน คุมแคลอรี 2 วัน
    รายละเอียด:
    ในหนึ่งสัปดาห์ เลือก 2 วันไม่ติดกันเพื่อคุมแคลอรี (500-600 kcal/วัน) ส่วนอีก 5 วันสามารถกินตามปกติ
    ไม่ได้เน้นเวลาการกิน แต่เน้นปริมาณแคลอรีที่กินใน 2 วันนั้น
    วันคุมแคลอรีอาจเลือกกินโปรตีนสูงและผักเป็นหลัก
  • IF รูปแบบที่นิยมที่สุดคือ 16:8 ซึ่งคือการอดอาหาร 16 ชั่วโมง และกินได้ในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง รองลงมา คือ 5:2 คือการกินตามปกติ 5 วัน และควบคุมแคลอรีในอีก 2 วัน รูปแบบเหล่านี้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน

ที่มา: การลดน้ำหนักแบบ IF ทำตามได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย [2]

ใครเหมาะกับการทำ IF มากที่สุด

คนที่เหมาะกับ มากที่สุด คือผู้ที่มีวินัยเรื่องเวลา ไม่ติดอาหารเช้า ต้องการลดน้ำหนักแบบไม่เคร่งเครียดกับการนับแคลอรี ไม่ชอบกินจุกจิกทั้งวัน และไม่มีโรคประจำตัวหรือภาวะสุขภาพที่ขัดกับการอดอาหารเป็นช่วง ๆโดยเฉพาะ  ผู้ที่อยากปรับพฤติกรรมการกินให้มีระบบมากขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การทำ IF (Intermittent Fasting) เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือปรับพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น โดยเฉพาะคนที่สามารถควบคุมเวลาในการกินได้อย่างมีวินัย และไม่ชอบกินอาหารเช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น เบาหวานหรือความดันต่ำ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง IF ได้แก่ เด็ก วัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ

ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดหรือพฤติกรรมการกินผิดปกติ ก่อนเริ่มทำ IF ควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ

ข้อดีของวิธีการทำ IF ในการลดน้ำหนัก

วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF

วิธี  IF มีข้อดีมากมาย นอกจากช่วยเรื่องการลดน้ำหนักแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายด้าน  ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบ และอาจช่วยยืดอายุ การทำ IF ยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อีกด้วย [3]

หนึ่งในจุดแข็ง คือมันไม่ใช่การอดอาหารแบบถาวร แต่เป็นการเลือกช่วงเวลากินอย่างมีแบบแผน ทำให้ไม่เครียด และมีแนวโน้มทำได้ต่อเนื่องได้นานกว่า นอกจากนี้ IF ยังช่วยปรับพฤติกรรมการกินให้เป็นระบบมากขึ้น ลดการกินจุกจิก หรือการกินอารมณ์ ที่เป็นปัจจัยหลักวิธีทำ IF ที่จะช่วยการสะสมไขมัน

 IF ช่วยเพิ่มสมาธิและพลังงานระหว่างวัน

IF ช่วยเพิ่มสมาธิและพลังงานระหว่างวัน เพราะในช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะอดอาหาร (fasting) ระดับอินซูลินจะลดลง และร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัว อาทิ นอร์เอพิเนฟรีน (norepinephrine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทให้รู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้น

นอกจากนี้ การที่ระบบย่อยอาหารไม่ได้ทำงานหนักตลอดเวลายังช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ทำให้มีสมาธิและความชัดเจนทางความคิดมากขึ้น

หลายคนที่ทำ IF ต่อเนื่องพบว่าช่วงที่ไม่กินอาหารกลับมีพลังงานเพิ่มขึ้น ไม่ง่วงซึม ไม่อ่อนเพลียเหมือนตอนที่กินบ่อย ๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งมักทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นลงเร็วและส่งผลให้สมองเบลอในระหว่างวัน

การควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด

การทำ IF (Intermittent Fasting) ช่วยควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อเราหยุดกินอาหาร ร่างกายจะไม่ต้องหลั่งอินซูลินบ่อย ๆ ส่งผลให้ระดับอินซูลินลดลง และช่วยให้เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2

นอกจากนี้ ช่วงที่ร่างกายไม่รับกลูโคสจากอาหาร ร่างกายจะหันมาใช้พลังงานจากไขมันสะสมแทน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ไม่พุ่งสูงขึ้น-ลงอย่างรวดเร็วเหมือนตอนกินอาหารหรือของว่างบ่อย ๆ โดยเฉพาะวิธีทำ IF พวกที่มีน้ำตาลสูง ผลที่ตามมาคือ ภาวะน้ำตาลตกหรือหิวบ่อยจะลดลง ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น

วิธีทำ IF ให้มีพลังงานที่สม่ำเสมอ ไม่เหนื่อยง่าย และลดความอยากของหวานหรือของจุกจิกระหว่างวัน การควบคุมอินซูลินที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังป้องกันโรคเรื้อรังในระยะยาว และวิธีทำ IF ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.

สิ่งที่ควรระวังเมื่อลดน้ำหนักด้วย IF

วิธี ลดน้ำหนักแม้ว่า วิธี ลดน้ำหนัก จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีสิ่งที่ควรระวัง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น เช่น อาการหิวจัด ปวดหัว หรืออ่อนเพลีย และในบางรายอาจทำให้เกิดภาวะกินเกินในช่วงที่เปิดหน้าต่างการกิน

วิธีลดน้ำหนักต้องอาศัยความเข้าใจและการวางแผน ไม่ใช่แค่ไม่กินแล้วผอม แต่ต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงที่กินด้วย เช่น โปรตีนสูง ไขมันดี และใยอาหาร อีกประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม IF เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

IF ไม่ใช่ทางลัด แต่เป็นแนวทางระยะยาว

IF ไม่ใช่ทางลัดในการลดน้ำหนักอย่าง รวดเร็วทันใจ แต่เป็นแนวทางที่เน้นความยั่งยืนในระยะยาว การทำ IF ไม่ได้เน้นการอดอาหารอย่างหักโหม แต่เน้นการจัดระเบียบเวลาการกินให้เหมาะสมกับระบบร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้ว่าในช่วงแรกอาจเห็นผลเรื่องน้ำหนักลดค่อนข้างเร็ว แต่การรักษาน้ำหนักให้คงที่และสุขภาพดีในระยะยาวคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของ IF การมีวินัยในการกิน เลือกอาหารที่มีคุณภาพ และทำ IF อย่างต่อเนื่อง จะให้ผลลัพธ์ที่มั่นคงมากกว่าการไดเอตแบบเร่งรัดหรืออดอาหารแบบสุดโต่ง

หากจะให้ผลลัพธ์ออกมาดี ส่วนตัวคิดว่า การกินคลีนควบคู่ไปด้วย เป็นสิ่งที่ดี หากกินอย่างถูกวิธี และทำ IF อย่างถูกต้อง และใครอยากทำตามวิธีนี้ ลองไปทำความรู้จักการกินคลีนกันอีกสักนิดดีกว่า เพราะการกินคลีนไม่ได้จืดอย่างที่หลาย ๆ คนคิด ตามไปอ่านต่อได้ที่ กินคลีนแบบไม่จืด ทำยังไง

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ IF

หลายคนคิดว่า IF คือการไม่กินอะไร ทั้งวัน ซึ่งไม่ถูกต้อง IF คือการ “จำกัดช่วงเวลาในการกิน” ไม่ใช่การอดอาหารแบบขาดสารอาหาร ในช่วงเวลากินก็ยังต้องกินให้ครบ 5 หมู่และพอเพียง แม้จะทำ IF แต่ถ้ากินอาหารแคลอรีสูง ในช่วงเวลากิน น้ำหนักก็อาจไม่ลด หรืออาจเพิ่มได้เพราะIF ไม่ได้แปลว่า “จะกินอะไรก็ได้”

 สรุปแล้ว วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF ให้ได้ผลจริงและยั่งยืน

สรุปแล้ว วิธี ลดน้ำหนักแบบ IF คือแนวทางที่ใช้การจัดเวลาการกินเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่เครียดกับการนับแคลอรีและควบคุมอาหารทุกมื้อ ไม่เพียงช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญ สุขภาพด้วย

การทำ IF ต่างจากการไดเอตแบบทั่วไปอย่างไร

ไม่เน้นจำกัดแคลอรีหรือเลือกกินอาหารแบบเฉพาะเจาะจง แต่ใช้การควบคุมเวลาในการกินแทน ทำให้ไม่รู้สึกเครียดและสามารถทำได้ต่อเนื่องมากกว่า

 ข้อดีของการลดน้ำหนักด้วยวิธี IF มีอะไรบ้าง

ข้อดีของการลดน้ำหนัก IF มีอะไรบ้าง นอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้ว IF ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบ ปรับสมดุลฮอร์โมน เพิ่มสมาธิ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 นอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้ว IF ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบ ปรับสมดุลฮอร์โมน เพิ่มสมาธิ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง