
สมุนไพรไทย ช่วยเผาผลาญ ไขมันและพลังงานในร่างกายได้อย่างน่าสนใจมากขึ้นในยุคที่หลายคนหันมาดูแลสุขภาพผ่านทางธรรมชาติ การใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่เราคุ้นเคย ไม่เพียงแต่ประหยัด ยังปลอดภัยและได้ผลดีอีกด้วย สมุนไพรไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ช่วยให้ร่างกายดึงพลังงานมาใช้ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาเคมี
ขิงคือสมุนไพรไทยที่รู้จักกันดีในเรื่องรสเผ็ดร้อน มักใช้ในอาหารและยาพื้นบ้าน ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เต็มที่ ส่งผลต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เมื่อรับประทานขิงเป็นประจำ ร่างกายจะสามารถปรับสมดุลและเร่งการเผาผลาญได้ดีขึ้น
ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในครัวไทย ไม่ว่าจะอยู่ในต้มยำ ต้มข่า หรือแม้แต่เอามาต้มดื่มน้ำร้อนๆ ก็ยังมีประโยชน์เยอะมากๆ ซึ่งอาจจะดูเหมือนของธรรมดา แต่จริงๆ แล้วขิงเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่ามากกว่าที่เราคิดเยอะเลย
โดยเฉพาะในเรื่องของระบบเผาผลาญ เพราะขิงมีรสชาติที่เผ็ดร้อนแบบเฉพาะตัวที่ไม่ใช่แค่เผ็ดแบบพริก แต่เป็นเผ็ดร้อนแบบที่ช่วยกระตุ้นร่างกายจากภายใน ช่วยเผาผลาญ อีกทั้งยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดการสะสมของไขมันส่วนเกินขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้สมดุล [1]
จริงๆ แล้วขิงเป็นสมุนไพรที่เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายแบบมากๆ แบบที่เราคิดไม่ถึงเลยเพราะมันไม่ใช่แค่ของที่อยู่ในครัวเฉยๆ หรือเอาไว้ต้มเวลาไม่สบายอย่างเดียว แต่ถ้าเรารู้จักวิธีใช้ ขิงก็กลายเป็นของที่ช่วยดูแลสุขภาพได้ทั้งวันเลยก็ว่าได้ อย่างตอนเช้าเราสามารถเริ่มวันด้วยการดื่มน้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว
ซึ่งบางคนอาจจะใส่น้ำผึ้งกับมะนาวเล็กน้อยเพื่อให้รสชาตินุ่มขึ้น ดื่มแล้วรู้สึกอุ่นท้อง กระตุ้นการขับถ่ายและระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น แถมยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัวแบบไม่ต้องพึ่งกาแฟด้วยหรือถ้าคนไหนไม่ถนัดดื่มน้ำขิงแบบเข้มๆ จะเอาขิงมาฝานบางๆ แช่ในน้ำเปล่าเย็นๆ แล้วจิบบ่อยๆ ทั้งวันก็ได้เหมือนกัน
ขิงก็เป็นวัตถุดิบสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นผัดไก่ใส่ขิง หรือเอาขิงซอยใส่ในซุปก็ดี ช่วยดับกลิ่นคาว แถมเพิ่มรสเผ็ดอ่อนๆ ที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นอีกเยอะเลย และในวันไหนที่รู้สึกว่าเมื่อยล้าหรือเป็นหวัด เราก็สามารถเอาขิงมาทำเป็นลูกประคบ หรือเอาขิงสดบดๆ ต้มกับน้ำแล้วเอาผ้าชุบประคบตามบ่าไหล่ได้ด้วย
ขิงเป็นสมุนไพรไทย ที่หลายคนรู้จักดีในเรื่องของการช่วยแก้หวัดหรือบรรเทาอาการคลื่นไส้ แต่จริงๆ แล้วขิงยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกหลายอย่างที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน อย่างเช่นเรื่องของการช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ ช่วยเผาผลาญ ซึ่งขิงมีสารต้านการอักเสบธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรังได้ดี
โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่าหรือเป็นโรคข้อเสื่อม อีกอย่างที่น่าสนใจคือขิงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือกำลังควบคุมระดับน้ำตาล เพราะสารบางชนิดในขิงจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินในร่างกาย และยังช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่มากขึ้น
พริกเป็นสมุนไพรไทยที่คนไทยแทบทุกบ้านต้องมีติดครัว ไม่ว่าจะเป็นพริกสด พริกแห้ง หรือพริกป่น เพราะมันเป็นของคู่ครัวที่ช่วยเพิ่มรสเผ็ดร้อนแบบไทยๆ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ พริกไม่ได้มีดีแค่เรื่องรสชาติเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วพริกยังมีสรรพคุณช่วยในเรื่องของระบบเผาผลาญอีกด้วย
หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าพริกช่วยเผาผลาญไขมัน แต่มันไม่ใช่แค่ว่าเผ็ดแล้วร้อนแล้วผอมไปเอง มันมีสารที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” ซึ่งเป็นสารที่ทำให้พริกเผ็ด นี้แหละที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเราทำงานหนักขึ้นในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งถ้าเรากินพริกในปริมาณพอดีๆ ร่างกายก็จะเร่งการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นกว่าปกติ
พริกเป็นสมุนไพรไทยที่เต็มไปด้วยแคปไซซิน ซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นชั่วคราว ส่งผลต่อการเบิร์นแคลอรี หลายคนอาจหลีกเลี่ยงพริกเพราะรสเผ็ด แต่ความเผ็ดนี้เองที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานเร็วขึ้น พริกยังช่วยกระตุ้นฮอร์โมนความสุขอีกด้วย [2]
หลายคนชอบกินเผ็ดแต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนกินเพราะกินทีไรแสบท้องทุกที โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะหรือรู้สึกแน่นท้องง่ายๆ ซึ่งจริงๆ แล้วการกินพริกให้อร่อยแบบไม่แสบท้องมันมีเคล็ดลับง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม อย่างแรกเลยคือควรกินพริกพร้อมอาหารที่มีไขมันดีหรือโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ปลา
เพราะพวกนี้จะช่วยเคลือบกระเพาะ ทำให้สารแคปไซซินที่ทำให้เผ็ดไม่ไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะมากเกินไป และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรเลี่ยงการกินพริกตอนท้องว่าง เพราะนั่นคือเวลาที่กระเพาะยังไม่มีอะไรรองรับ พอสารเผ็ดลงไปก็เลยเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
เลือกพริกสดแบบไม่เผ็ดจัด เช่น พริกหวาน หรือพริกชี้ฟ้า นำมาผัดหรือต้มในน้ำแกง เป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญโดยไม่ระคายเคืองพริกแห้งคั่วหรือตำผสมในน้ำพริกก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี
หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าพริกที่เผ็ดๆ แสบๆ นี่แหละ จะช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย ซึ่งความจริงแล้วมันช่วยได้จริงๆ แต่ก็ต้องรู้จักใช้ให้ถูกวิธี เพราะในพริกมีสารที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เรารู้สึกเผ็ดร้อนนั่นแหละ แต่ที่น่าสนใจก็คือสารนี้มันช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
ทำให้เราเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังมื้ออาหารที่มีพริกอยู่ด้วย ร่างกายจะรู้สึกร้อนขึ้น เลือดสูบฉีดดีขึ้น และนั่นแหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเผาผลาญไขมันที่ดีขึ้นแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปพึ่งยาลดน้ำหนักหรือวิธีเร่งรัดที่อาจเสี่ยงอันตราย
คือไม่ใช่ว่ากินพริกแล้วจะผอมทันที แต่ถ้ากินร่วมกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และควบคุมปริมาณอาหารรวมถึงออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย การกินพริกเป็นประจำสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแม้ในขณะพักผ่อน นอกจากนี้ยังช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้ควบคุมการบริโภคอาหารได้ง่ายขึ้น
กระเทียมเป็นของที่อยู่ในครัวแทบทุกบ้าน ใช้บ่อยจนบางคนอาจจะมองข้ามไปว่าจริงๆ แล้วมันเป็นสมุนไพรไทยที่มีคุณประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยระบบเผาผลาญ เพราะในกระเทียมมีสารสำคัญที่ชื่อว่า “อัลลิซิน” ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาหลังจากที่เราทุบหรือสับกระเทียม แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก
ก่อนนำไปใช้ ซึ่งสารนี้แหละที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเราทำงานดีขึ้น ทั้งในแง่ของการไหลเวียนเลือด ระบบย่อยอาหาร และแน่นอนว่ารวมถึงการเผาผลาญพลังงานด้วย กระเทียมยังช่วยลดระดับไขมันไม่ดี (LDL) ในเลือด ทำให้ระบบภายในร่างกายสมดุลมากขึ้น พอระบบทำงานได้ดี เผาผลาญก็จะดีตามไปด้วย
กระเทียมเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยหลากหลายเมนู แม้จะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ไม่ค่อยหอมถูกใจนัก แต่ก็อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยเฉพาะสารอัลลิซิน ซึ่งมีบทบาทในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เราสามารถบริโภคกระเทียมได้ทั้งแบบสดหรือผ่านการปรุงสุก เพราะสารอัลลิซินยังคงคงสภาพได้แม้จะผ่านความร้อนแล้วก็ตาม [3]
กระชายเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่ฟังดูเหมือนจะธรรมดา แต่ถ้าได้ลองศึกษาดูจริงๆ จะรู้เลยว่ามีประโยชน์มากกว่าที่คิดเยอะมาก จนบางคนเรียกว่ากระชายคือ “โสมไทย” ก็ไม่เกินจริง เพราะมันช่วยทั้งบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน แถมยังดีต่อระบบย่อยอาหารอีกด้วย
โดยเฉพาะกระชายเหลืองที่เราใช้กันบ่อยในต้มยำหรือผัดเผ็ดต่างๆ นอกจากจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นให้กับอาหารแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และที่สำคัญคือช่วยปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย บางคนดื่มน้ำกระชายเป็นประจำก็รู้สึกว่ามีแรงมากขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย
ในผู้ชายก็เชื่อกันว่าช่วยเรื่องพละกำลังและสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย ส่วนในผู้หญิงเองก็ดีต่อระบบเลือดและฮอร์โมนเช่นกัน นอกจากนี้ กระชายยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอวัย เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หลายคนจึงเริ่มหันมาทำน้ำกระชายดื่มเอง
การทำน้ำกระชายสดผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและทำง่าย ควรดื่มวันละ 1 แก้วในตอนเช้า จะช่วยเพิ่มพลังและเร่งระบบเผาผลาญได้ทั้งวัน นอกจจากการทานสมุนไพรไทยช่วยลดน้ำหนักแล้ว อีกหนึ่งวิธีการลดน้ำหนักก็คือ กินคลีน หากอยากทราบว่า กินคลีนทำยังไง สามารถอ่านต่อได้ที่ กินคลีนแบบไม่จืด ทำยังไง
กระชายถือว่าเป็นสมุนไพรไทยพื้นบ้านของไทยที่นอกจากจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงสุขภาพได้ครอบคลุมหลายด้านแบบที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของการเสริมภูมิคุ้มกันและฟื้นฟูร่างกาย เพราะในกระชายมีสารสำคัญอย่างแพนดูราทินเอ และโบเออร์ฮาเวน
สมุนไพรไทย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านไวรัส ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าได้ไวขึ้น คนที่พักผ่อนน้อยหรือทำงานหนักเป็นประจำหากดื่มน้ำกระชายเป็นประจำก็จะช่วยให้สดชื่น มีแรง ไม่เพลียง่าย และยังช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้กระชายยังมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และช่วยลดอาการแน่นท้องได้ดี สำหรับผู้ชายก็มีชื่อเสียงในด้านการช่วยเพิ่มพละกำลังและบำรุงฮอร์โมนเพศ
สรุปแล้ว สมุนไพรไทย ช่วยเผาผลาญ เสริมสุขภาพแบบธรรมชาติ คือทางเลือกที่ดีสำหรับคนรักสุขภาพ สมุนไพรอย่างขิง พริก และกระชายล้วนมีฤทธิ์กระตุ้นระบบเผาผลาญได้อย่างมีประสิทธิภาพสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่าย ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีใด ๆ
ได้แน่นอน และถือว่าเป็นการเสริมกันอย่างดี เพราะสมุนไพรไทย จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ส่วนการออกกำลังกายจะช่วยดึงพลังงานออกมาใช้ การทำทั้งสองอย่างควบคู่กันจะเพิ่มประสิทธิภาพในการลดไขมันและดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น
แม้ว่า สมุนไพรไทย จะเป็นของธรรมชาติและมักถูกมองว่าปลอดภัย แต่ความจริงคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้แล้วจะไม่มีผลข้างเคียง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน บางสมุนไพรอาจกระตุ้นการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หรือหัวใจ หากใช้ในปริมาณมากเกินไป หรือใช้อย่างต่อเนื่อง
โดยไม่มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นขึ้น คัน หรือแน่นหน้าอกได้ในบางราย จึงควรเริ่มจากปริมาณน้อย และสังเกตอาการของร่างกายเสมอ