
เปรียบเทียบ สารเสพติด กับพนัน อะไรเลิกยากกว่ากัน
- โอนลี่มี
- 6 views

สารเสพติด กับพนัน อะไรเลิกยากกว่ากัน เป็นคำถามที่สะท้อนความท้าทาย ของพฤติกรรมเสพติดในยุคปัจจุบัน ทั้งสองรูปแบบส่งผลต่อสมอง และพฤติกรรมอย่างลึกซึ้ง แม้จะต่างกันในกลไก และลักษณะการเสพ การเปรียบเทียบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเลิก แต่คือการเข้าใจ “แรงดึงดูด” ที่ยากจะต้านทาน ของแต่ละประเภทอย่างแท้จริง
- ความหมายของ “การเสพติด” ทางสารเคมีและพฤติกรรม
- กลไกสมอง สารเสพติด vs พนัน
- ความยากในการเลิก อะไรทรมานกว่ากัน?
- ปัจจัยแวดล้อม และแรงกระตุ้น ใครผลักดันให้เสพติด และแนวทางการฟื้นฟูรักษา
ความหมายของ “การเสพติด” ทางสารเคมีและพฤติกรรม
สารเคมี (Chemical addiction): เช่น ยาบ้า เฮโรอีน แอลกอฮอล์ ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการถอนเมื่อหยุดใช้
พฤติกรรม (Behavioral addiction): เช่น การพนัน เกมออนไลน์ หรือการเสพติดโซเชียลมีเดีย แม้ไม่มีสารเคมี แต่กระตุ้นสมองผ่านกลไกรางวัลไม่แน่นอน (variable reward) ทำให้ติดซ้ำได้เช่นกัน
เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับ “พฤติกรรมเสพติด”
- ปี 2013 DSM-5 ยอมรับ “Gambling Disorder” เป็นโรคทางจิตเวช โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน จัดให้การพนันเป็นพฤติกรรมเสพติด เทียบเท่ายาเสพติด
- ปี 2022 WHO ยืนยัน “Gaming Disorder” เป็นโรคทางสุขภาพจิต โดยองค์การอนามัยโลกจัดให้การติดเกม เป็นพฤติกรรมเสพติดที่ต้องได้รับการดูแล
- ปี 2025 ปัจจุบัน งานวิจัยเปรียบเทียบ การเสพติดสารกับพฤติกรรม พบว่าการเสพติดพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การพนัน มีอัตราการกลับไปเล่นซ้ำ ใกล้เคียงกับการติดสาร
กลไกสมอง สารเสพติด
- สารเสพติด เช่น ยาบ้า เฮโรอีน แอลกอฮอล์ มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทโดยตรง
- เมื่อเข้าสู่ร่างกาย สารเหล่านี้จะเพิ่มระดับ โดพามีน (dopamine) อย่างรวดเร็วในสมอง
- โดพามีนคือ สารสื่อประสาท ที่เกี่ยวข้องกับความสุข และแรงจูงใจ ทำให้เกิดความรู้สึกดีแบบเฉียบพลัน
- สมองจะจดจำความรู้สึกนี้ และกระตุ้นให้ “อยากใช้ซ้ำ” เพื่อให้ได้ความสุขแบบเดิม
- เมื่อใช้บ่อย สมองจะปรับตัว และลดการผลิตโดพามีนตามธรรมชาติ ทำให้ต้องใช้มากขึ้น เพื่อให้รู้สึกดีเท่าเดิม ทำให้เกิดวงจรเสพติด
ที่มา: Drugs, Brains, and Behavior: The Science of Addiction (กรกฎาคม 2020) [1]
กลไกสมองของ การพนัน
- การพนันไม่ได้ใช้สารเคมี แต่กระตุ้นสมองผ่าน “รางวัลไม่แน่นอน” (variable reward)
- ตัวอย่างเช่น สล็อตแมชชีน หรือหวย ที่ไม่รู้ว่าจะได้รางวัลเมื่อใด ทำให้สมองตื่นเต้น และคาดหวัง
- การคาดหวัง รางวัลแบบสุ่มนี้ กระตุ้นโดพามีนเช่นกัน แม้ไม่ได้รับรางวัลจริง
- สมองจะจดจำความตื่นเต้น และกระตุ้นให้เล่นซ้ำ แม้จะขาดทุน หรือแพ้
- พฤติกรรมนี้คล้ายกับ การเสพติดสารเคมี แต่เกิดจาก “พฤติกรรมซ้ำ” ไม่ใช่สารกระตุ้นโดยตรง
ที่มา: How gambling affects the brain and who is most vulnerable to addiction (1 กรกฎาคม 2023) [2]
ความยากในการเลิก อะไรทรมานกว่ากัน?

สารเสพติด – ความทรมานทางกายภาพและเคมีในสมอง
อาการถอน (Withdrawal) ได้แก่ ปวดเมื่อย สั่น คลื่นไส้ เหงื่อออก ซึมเศร้า และอาจถึงขั้นชักหรือเสียชีวิตในบางกรณี เช่น แอลกอฮอล์หรือเบนโซไดอะซีพีน ระยะเวลาฟื้นตัวจากอาการถอนเฉียบพลันอาจกินเวลา 1–2 สัปดาห์ แต่การฟื้นฟูสมองและอารมณ์อาจใช้เวลา 6 เดือนถึงหลายปี โดยเฉพาะในช่วง 3–6 เดือนแรก หากไม่มีการบำบัดและสนับสนุนที่เหมาะสม โอกาสกลับไปเสพซ้ำยังคงสูงมาก
การพนัน – ความทรมานทางจิตใจและพฤติกรรมซ้ำซ้อน
อาการถอนจากการพนันมักแสดงออกทางจิตใจ เช่น กระวนกระวาย ซึมเศร้า ขาดความตื่นเต้น รู้สึกว่างเปล่า และมีความอยากเล่นอย่างรุนแรง แม้ไม่มีอาการทางกาย แต่การควบคุมพฤติกรรม และความคิดหมกมุ่น อาจใช้เวลาเป็นปี โดยเฉพาะหากมีหนี้สิน หรือความรู้สึกผิดร่วมด้วย โอกาสกลับไปเล่นซ้ำจึงสูงพอ ๆ กับสารเสพติด โดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งกระตุ้น เช่น โฆษณาเกม เสียงสล็อต หรือความเครียดทางการเงิน
ทำไมบางคน เลิกเล่นพนันไม่ได้ เพราะการพนันไม่ได้กระตุ้นแค่ความสุข แต่กระตุ้น “ความหวัง” และ “ความคาดหวัง” ว่าจะได้เงินคืน หรือพลิกชีวิต ความรู้สึกเหล่านี้ฝังลึกในสมองผ่านกลไกรางวัลไม่แน่นอน ทำให้แม้จะขาดทุน หรือรู้ผลเสีย ผู้เล่นก็ยังกลับไปเล่นซ้ำโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อสื่อ และเทคโนโลยีเปิดช่องให้เข้าถึงง่าย การเลิกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของแรงใจ แต่ต้องอาศัยการบำบัด และการตัดสิ่งกระตุ้นอย่างจริงจัง
ปัจจัยแวดล้อม และแรงกระตุ้น ใครผลักดันให้เสพติด
สารเสพติด: มักเริ่มจากการเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อนที่ใช้สารร่วมกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เข้าถึงยาได้ง่าย หรือขาดการควบคุม ความรู้สึก “อยากลอง” หรือ “ไม่อยากถูกแยกออกจากกลุ่ม” กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญ การเสพติดจึงเกิดจากแรงกดดันทางสังคม และการเข้าถึงสารโดยตรง ซึ่งฝังลึกในพฤติกรรม และสภาพแวดล้อมของผู้ใช้
การพนัน: แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันแบบไม่รู้ตัว ผ่านสื่อ เกม แอปมือถือ และโซเชียลมีเดีย เช่น เกมสุ่มรางวัล โฆษณาคาสิโน หรือสตรีมเกมพนัน ซึ่งเข้าถึงง่ายเพียงแค่มีมือถือ ไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริง ความยากในการควบคุมเกิดจากการ “เห็นซ้ำ ๆ” และ “ลุ้นได้ทันที” แม้ไม่ได้ตั้งใจเล่น แต่การเห็นบ่อย ๆ ก็สามารถกระตุ้นให้กลับไปเล่นได้อย่างไม่รู้ตัว
ความกดดันทางเศรษฐกิจ: ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือรายได้ไม่พอใช้ การพนันมักถูกมองว่าเป็น “ทางออก” หรือ “โอกาสสุดท้าย” ต่างจากสารเสพติดที่เน้นความสุข การพนันแฝงด้วยความหวังว่าจะ “ได้เงินคืน” หรือ “พลิกชีวิต” จึงมีแนวโน้มว่าคนจำนวนมาก จะหันไปเล่นพนันมากกว่าหาสารเสพติดในช่วงวิกฤต
แนวทางการฟื้นฟูรักษา
การบำบัดสารเสพติด – ใช้ทั้งยาและจิตบำบัด เช่น Methadone ร่วมกับกลุ่มสนับสนุน โดยเฉพาะผู้ติดโอปิออยด์มีโอกาสเลิกสำเร็จสูงถึง 70% แต่ยังมีอัตราการกลับมาเสพซ้ำถึง 40–60% ในปีแรก หากขาดการติดตาม และแรงสนับสนุน.
การพนัน – เน้นการบำบัดด้วย CBT และการควบคุมพฤติกรรม เช่น ปิดบัญชีพนัน หรือใช้ซอฟต์แวร์บล็อก การมีโครงสร้างและครอบครัวร่วมช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นฟู แม้ไม่มีอาการถอนทางกาย แต่แรงกระตุ้นทางจิตใจ ทำให้กลับมาเล่นซ้ำได้ง่าย (28 ธันวาคม 2021) [3]
การเลิกสารเสพติด อาจทรมานทางกายภาพมากกว่า แต่การพนันฝังลึกในพฤติกรรม และเข้าถึงง่าย ความสำเร็จในการฟื้นฟู จึงขึ้นอยู่กับรูปแบบการรักษา และแรงสนับสนุนรอบตัว
สรุปแล้ว สารเสพติด กับพนัน อะไรเลิกยากกว่ากัน แล้วแต่บุคคล
โดยสรุป สารเสพติดกับพนัน อะไรเลิกยากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเสพติด และแรงกระตุ้นรอบตัว สารเสพติดทรมานทางกายภาพ ส่วนการพนันฝังลึกในพฤติกรรม และเข้าถึงง่าย การฟื้นฟูทั้งสองต้องใช้เวลา และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีโอกาสกลับไปเสพซ้ำสูง หากขาดการควบคุม ความเข้าใจกลไกสมองและสิ่งแวดล้อม คือกุญแจสำคัญในการออกแบบแนวทางฟื้นฟูที่ยั่งยืน
การฟื้นฟูสารเสพติดกับการพนันต่างกันอย่างไร?
สารเสพติดใช้ยาและจิตบำบัด ส่วนการพนันเน้น CBT และการควบคุมพฤติกรรม โดยทั้งสองต้องการแรงสนับสนุน และการติดตามต่อเนื่อง
อะไรคือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้คนกลับไปเสพหรือเล่นซ้ำ?
สิ่งกระตุ้นในชีวิตประจำวัน เช่น สื่อ โฆษณา ความเครียดทางเศรษฐกิจ หรือการขาดแรงสนับสนุน ล้วนเพิ่มโอกาสกลับไปเสพติดซ้ำ
- Tags: ออนไลน์
แหล่งอ้างอิง


