สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้ สำคัญแค่ไหนในยุคดิจิทัล

สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้

สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้ มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ที่ทำให้คนจดจำ ชื่อเสียงที่สร้างความไว้วางใจ ไปจนถึงสูตรลับทางการตลาด หรือซอฟต์แวร์ภายในองค์กร สิ่งเหล่านี้มีมูลค่าสูง และส่งผลต่อรายได้จริง เพียงแต่เราอาจมองข้าม หรือยังไม่รู้จักวิธีประเมินมัน อย่างถูกต้อง

  • วิธีประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้
  • ตัวอย่าง “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้” พร้อมวิธีจัดการ และปกป้องสินทรัพย์
  • เปลี่ยนความคิดใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์

ทำความรู้จัก สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ 

สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ คือ สิ่งที่มองไม่เห็น จับไม่ได้ แต่มีมูลค่าและสร้างรายได้ให้ธุรกิจได้ เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ และชื่อเสียงของแบรนด์ [1]

ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น โลโก้ Shopee ช่วยให้คนจดจำได้ สิทธิบัตรของ Apple ทำให้สินค้ามีความต่าง หรือแอป K PLUS ที่กลายเป็นช่องทางหลักของธนาคาร

ในยุคนี้ หลายบริษัทเติบโตจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น ไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ หรือความเชื่อมั่นจากลูกค้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน ทางเลือกการลงทุน ยุคใหม่ ที่นักธุรกิจและนักลงทุนไม่ควรมองข้าม เพราะฉะนั้น ใครที่ทำธุรกิจ อย่ามองข้าม “ของที่มองไม่เห็น” เหล่านี้ เพราะมันอาจเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณก็ได้

ทำไม สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้จึงกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่า

ในอดีต ธุรกิจที่มีโรงงานใหญ่ เครื่องจักรเยอะ มักถูกมองว่ามีศักยภาพสูง เพราะมีสินทรัพย์ชัดเจนให้ประเมินมูลค่าได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล วันนี้บริษัทที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดกลับแทบไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง

ลองดู Apple, Google หรือ Microsoft บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นหลัก แต่มูลค่ากลับอยู่ที่แบรนด์ ซอฟต์แวร์ เทคโนโลยี สิทธิบัตร และฐานข้อมูลผู้ใช้ ซึ่งทั้งหมดคือ “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้” ที่สร้างกำไรอย่างมหาศาล

รายงานจาก Ocean Tomo ชี้ว่า มูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 กว่า 90% มาจากสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ขณะที่เมื่อปี 1975 ตัวเลขนี้อยู่แค่ 17% เท่านั้น

ที่มา: Intangible Asset Valuation [2]

วิธีประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้

สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น แบรนด์ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือซอฟต์แวร์ เป็นของที่มีมูลค่าแต่ประเมินยาก แล้วนักลงทุนหรือเจ้าของธุรกิจ จะรู้ได้อย่างไรว่าของพวกนี้ “มีค่าแค่ไหน”

จริง ๆ แล้วมี 3 วิธีหลักที่ใช้กันทั่วโลก

  • Cost-based – ประเมินจากต้นทุนที่ใช้สร้าง อย่างเช่น ค่าออกแบบหรือพัฒนา เท่ากับเงินที่ลงทุนไป
  • Market-based – เทียบราคากับสินทรัพย์คล้ายกันในตลาด ตัวอย่างเช่น สิทธิบัตรหรือแบรนด์ที่เคยซื้อขาย
  • Income-based – ประเมินจากรายได้ในอนาคตที่สินทรัพย์จะสร้าง โดยใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด

5 ตัวอย่าง สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่เปลี่ยนธุรกิจ

  1. UI/UX ที่ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด: ธุรกิจอย่าง Airbnb หรือ Canva ใช้การออกแบบหน้าตาและประสบการณ์ผู้ใช้ให้เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
  2. ความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty): Starbucks ไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขายประสบการณ์และความรู้สึกดี ๆ ที่ทำให้คนกลับมาซ้ำ กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าในระยะยาว
  3. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเอง: หลายบริษัทเทค เช่น Shopify หรือ Zoom ลงทุนพัฒนาระบบภายในที่กลายเป็นหัวใจของบริการ ซอฟต์แวร์เหล่านี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ต่อยอดได้อีกหลายรูปแบบ
  4. สูตรลับทางการตลาด: ไม่ว่าจะเป็นวิธีสร้างกระแสใน TikTok หรือระบบ referral แบบ Dropbox เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เหล่านี้คือ know-how ที่ไม่ได้เขียนไว้ในคู่มือ แต่มีพลังสร้างยอดขายแบบไม่ต้องใช้โฆษณาหนัก ๆ
  5. วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง: บริษัทอย่าง Zappos หรือ Netflix ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์ของทีมงาน กลายเป็นแรงผลักดันหลักให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

จัดการและปกป้องสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างไร?

สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างเช่น ไอเดีย นวัตกรรม แบรนด์ หรือข้อมูลลับ แม้มองไม่เห็น แต่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงมาก และถ้าไม่ปกป้องให้ดี ก็อาจถูกลอกเลียน หรือขโมยได้ง่ายกว่าสินทรัพย์ทั่วไป

ต่อไปนี้คือแนวทางสำคัญในการจัดการและป้องกัน:

  1. จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้ถูกต้อง: เพื่อให้มีสิทธิ์ทางกฎหมายปกป้องทรัพย์สินของคุณ
  2. ทำสัญญา NDA กับพนักงานและพาร์ตเนอร์: ป้องกันข้อมูลรั่วไหลจากพนักงานหรือพาร์ตเนอร์
  3. ใช้ระบบป้องกันข้อมูล (Cybersecurity): รักษาข้อมูลลับด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัย
  4. ใช้ DRM สำหรับเนื้อหาดิจิทัล: ควบคุมการใช้งานเนื้อหาดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น อีบุ๊กหรือซอฟต์แวร์

ที่มา: The Importance of Registering Your Intellectual Property for Maximum Protection [3] 

เปลี่ยนความคิดใหม่ คนก็เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ขององค์กร

เวลาพูดถึงสินทรัพย์ หลายคนมักนึกถึงสิ่งของหรือระบบ แต่ในความเป็นจริง “คน” คือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด และเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างมาก

พนักงานที่มี “องค์ความรู้” เฉพาะทาง “ประสบการณ์” ที่สั่งสมมา และ “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ต่อยอดสิ่งเดิมให้ดีขึ้น ล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต ที่สำคัญกว่านั้นคือ “ความผูกพัน” ที่คนในองค์กรมีต่อเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเครื่องจักร หรือเทคโนโลยีใดแทนที่ได้

ตัวอย่างง่าย ๆ คือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิเช่น Google หรือ Tesla ที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร การสนับสนุนการเรียนรู้ และการเปิดพื้นที่ให้คนกล้าเสนอไอเดีย เพราะพวกเขาเชื่อว่า “คุณค่า” ไม่ได้มาจากสิ่งที่องค์กรมี แต่อยู่ที่ “ใคร” อยู่ในองค์กร

โดยสรุป สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้ แต่เพิ่มมูลค่าได้

สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้

สรุปแล้ว สินทรัพย์ ที่จับต้องไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เคยอยู่รอบตัวเราเสมอ เพียงแค่วันนี้มันชัดเจนขึ้น มีมูลค่ามากขึ้น และมีบทบาทสำคัญกว่าที่เคยในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง ความภักดีของลูกค้า เทคโนโลยีที่พัฒนาเอง หรือองค์ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน การเข้าใจคุณค่าเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และแตกต่างจากคู่แข่ง

สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ สามารถนำมาค้ำประกันเงินกู้ได้หรือไม่?

โดยทั่วไป สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ไม่สามารถใช้เป็น หลักประกันเงินกู้ได้โดยตรง เหมือนที่ดินหรืออาคาร เพราะประเมินมูลค่ายากและเปลี่ยนมือได้ลำบาก อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น แบรนด์ที่มีมูลค่าสูง หรือสิทธิบัตร ที่มีรายได้แน่นอน อาจได้รับการพิจารณา เป็นส่วนหนึ่งของเครดิตทางธุรกิจ จากสถาบันการเงินเฉพาะทาง

บริษัทขนาดเล็กหรือ SME ควรเริ่มต้นบริหารสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้อย่างไร?

สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ควรเริ่มจากการทำบัญชีทรัพย์สินทางปัญญา ให้ชัดเจน เช่น การเก็บข้อมูล ต้นทุนพัฒนาโลโก้ ซอฟต์แวร์ หรือคอนเทนต์ที่ใช้กับแบรนด์ จากนั้นพิจารณาจดทะเบียนลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้า และวางระบบจัดเก็บ/รักษาข้อมูลที่สำคัญ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง