
เสาหลัก ใต้แป้น ที่โอบทั้งเกมไว้บนบ่าเดียว ไม่ได้มีแค่พลัง แต่ยังต้องมีหัวใจ ที่รับแรงกระแทกจากทั้งลีก ไม่ใช่แค่ร่างใหญ่ ที่ยืนอยู่ใต้แป้น แต่เป็นทั้งตัวจบ ตัวรับ และตัวกลางของทุกเพลย์ เขาคือผู้เล่นที่ไม่ได้สู้เพื่อชนะเท่านั้น แต่สู้เพื่อไม่ให้ทีมพังทลายลงมา เพราะความคาดหวัง
เสาหลัก ใต้แป้น โจเอล เอ็มบีด (Joel Embiid) ถ้าในสนามมีจุดที่รับ ทั้งแรงกระแทก แรงคาดหวัง และสายตาทั้งโลก จุดนั้นคือใต้แป้น และชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือโจเอล เอ็มบีด เขาไม่ใช่แค่คนตัวใหญ่ ที่เล่นบาสเก่ง
แต่คือผู้ที่ต้องเล่นบาสเหมือนศิลปิน แบกเกมเหมือนผู้นำ และอดทนต่อเสียงรอบข้าง เหมือนนักบวช ในเกมบาสเกตบอลระดับสูงสุด ตำแหน่งเซนเตอร์ เคยถูกมองว่าเป็น “จุดยืน” มากกว่า “จุดเปลี่ยน” แต่ไม่ใช่สำหรับเอ็มบีด ชายผู้สูงเกิน 7 ฟุต น้ำหนักร่วม 280 ปอนด์ [1]
แต่มีฟุตเวิร์กแบบแดนซ์เซอร์ ยิงสามแต้มได้แม่นยำ แบบผู้เล่นริมเส้น และพาบอลขึ้นสนาม ได้คล่องแคล่วไม่ต่างจากพอยต์การ์ด เขาคือหัวใจของ Philadelphia 76ers และอาจเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนบนโลก ที่ต้องเป็นทั้งจุดศูนย์กลางของเกมรุก เครื่องจักรป้องกัน และตัวแบกความหวังทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน
เอ็มบีดไม่ได้แค่เล่นใต้แป้น แต่เขา เป็นทุกอย่างในแดนใต้แป้น ขณะที่บางคนเป็นผู้นำเงียบที่เยือกเย็น อย่างเจสัน เททัม หนุ่มเลือดเย็น แห่งแดนเขียว บางคนสร้างเกมด้วยศิลปะแห่งการรุก อย่างเดอมาร์ เดอโรซาน ขุนพล ผ้าใบแดง
และบางคนเปลี่ยนระยะไกล ให้กลายเป็นเวทีศิลป์ได้ อย่างสตีเฟน เคอร์รี่ กวี สามแต้ม แต่โจเอล เอ็มบีดคือผู้ที่ต้องผสาน ทุกบทบาทเหล่านั้น ไว้ในคนเดียว
การเป็น MVP (Most Valuable Player) ไม่ได้แปลว่าได้รับรางวัล แล้วจะสบาย ในทางกลับกัน มันเป็นการตอกย้ำว่า “คุณต้องทำได้มากกว่าเดิม” ซึ่งเป็นสิ่งที่โจเอล เอ็มบีดต้องเผชิญ
แรงกดดัน ไม่ใช่เรื่องของแฟนบาสเท่านั้น แต่มันคือความคาดหวัง จากทั้งองค์กร คู่แข่ง และสื่อกีฬา ซึ่งบางครั้ง ก็มากเกินกว่าที่ใครจะรับได้ แม้กระทั่ง MVP [3]
ยุค 90s เคยมีชื่ออย่างฮาคีม โอลาจูวอน (Hakeem Olajuwon), เดวิด โรบินสัน (David Robinson) หรือชาคีลล์ โอนีล (Shaquille O’Neal) ที่ถือเป็นเสาหลัก ในแบบคลาสสิก แต่ในปัจจุบัน เสาหลักต้องทำได้มากกว่านั้น
ที่สำคัญอีกเรื่องคือ การรับมือกับแรงกดดันจากสื่อ และโซเชียลมีเดีย ยุคก่อนแทบไม่มีเรื่องนี้ ให้ต้องแบกรับ ขณะที่เอ็มบีดต้องรับมือกับคำวิจารณ์ ข่าวลือ และความคาดหวัง แทบจะทุกวัน เขาจึงไม่ใช่แค่ “บิ๊กแมน” แต่คือ ผู้เล่นแบบผสม ที่ต้องเล่นทุกบทบาทในคราวเดียว และนั่นอาจไม่ใช่ข้อดีเสมอไป
รู้จักแบ่งภาระ แม้คุณจะแบกทีมได้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง เพียงคนเดียว ควรเรียนรู้ที่จะพัก คนที่แข็งแรงที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่เคยหยุด แต่คือคนที่รู้ ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด เพื่อให้กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม
อย่าปล่อยให้ความคาดหวัง กลืนกินคุณ จงแยก สิ่งที่คุณทำได้ กับสิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณเป็น ออกจากกันให้ชัด บทเรียนจากโจเอล เอ็มบีดคือความจริง ของหลายคนในชีวิตจริง โดยเฉพาะคนที่คนรอบข้างมองว่า “แข็งแกร่งเสมอ”
บางครั้ง คนที่ถูกเรียกว่า “แบกทีม” กลับเป็นคนที่ “ไม่มีใครแบกเขา” เอ็มบีดคือคนที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำ ทั้งในวันที่ชนะ และในวันที่เจ็บ
แต่เบื้องหลังรอยยิ้ม และลูกเล่นในสนาม คือความโดดเดี่ยว จากการเป็นที่พึ่งเดียว ของเมืองใหญ่ทั้งเมือง สิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยพูด คือคำว่า “MVP” มันอาจหมายถึง “Most Vulnerable Person” ในบางวันก็ได้
ในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสนาม หรือในบทบาทอื่นของชีวิต หากคุณรู้สึกว่าต้อง “เป็นทุกอย่างให้ทุกคน” อย่าลืมกลับมาดูแลตัวเองด้วย เพราะแม้แต่ยักษ์ใต้แป้น ก็ยังต้องการพัก
จึงกล่าวได้ว่า “โจเอล เอ็มบีด” คือตัวอย่างของผู้เล่น ที่ไม่เพียงใช้ร่างกายแบกเกม แต่ยังใช้หัวใจ แบกความหวังของทั้งทีม เขาไม่สมบูรณ์แบบ และบางครั้งก็ล้ม แต่ในโลกของบาสเกตบอล ที่โหดร้าย เขายังคงยืนหยัด เป็นศูนย์กลางของทุกเพลย์ ทุกความหวัง และทุกคำถาม
เขาต้องแบกรับ ทั้งความคาดหวังจากแฟนๆ องค์กร และสื่อ รวมถึงแรงกดดัน จากคำว่า MVP ที่บีบให้เขาต้องโชว์ฟอร์มสูงสุด อยู่ตลอดเวลา แม้ในวันที่ร่างกายไม่พร้อม หรือทีมไม่สมบูรณ์
เอ็มบีดครองบอลได้ดี ยิงสามแต้มได้แม่นยำ เคลื่อนไหวเร็ว และรับมือกับแรงกดดัน จากโซเชียลมีเดียได้ดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เซนเตอร์ยุคก่อน แทบไม่ต้องเผชิญ ทำให้เอ็มบีด ต้องทำหน้าที่มากกว่า ที่ผู้เล่นตำแหน่งเดียวกันเคยทำ