
สู้บน แนวคิด คราฟมากา (Krav Maga) วิชาฝึกทหาร แห่งกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) โดยผสมทักษะจาก ไอคิโด, มวย, ยูโด, คาราเต้ ซึ่งหลายกลุ่มถกเถียงกันว่า แท้จริงแล้ว คราฟมากาใช่ศิลปะต่อสู้จริงหรือไม่? และเราจะพาไปหาคำตอบ พร้อมกัน
คำว่าคราฟมากา หมายถึง การต่อสู้แบบสัมผัส (קְרַב מַגָּע) ในภาษาฮีบรู ซึ่งพัฒนาขึ้น ในยุคการต่อต้านชาวยิว โดย Imi Lichtenfeld ชาวเมืองบราติสลาวา ด้วยการนำแนวคิด ศิลปะต่อสู้อื่นๆ มาดัดแปลงเป็น แนวคิด คราฟมากา แล้วนำไปใช้ในชีวิตได้จริง
ที่มา: Concepts [1]
แนวคิดคราฟมากา เริ่มอย่างเป็นทางการในปี 1948 หลังจากอิสราเอลก่อตั้งขึ้น โดยมีบุคคลสำคัญอย่าง Imi Lichtenfeld ชาวยิวจากเชโกสโลวาเกีย ผู้ลี้ภัยไปยังยุโรป แล้วเข้าร่วมกลุ่มกึ่งทหาร จากนั้นเขาขึ้นเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ให้กับกองทัพอิสราเอล
เขาอยู่ในกองทัพเป็นเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่ในปี 1965 จะเพิ่มเทคนิคยูโดเข้าไป กระทั่งลูกศิษย์คนหนึ่ง ได้ไปเรียนไอคิโดที่ฝรั่งเศส แล้วนำมาผสมผสานเข้ากับคราฟมากา จนถึงปี 1974 อิมเร ลิชเทนเฟลด์ เกษียณอายุ
แต่ผู้ที่นำคราฟมากา เข้าสู่กองทัพจริงๆ คือ Eli Avikzar เขาเข้าร่วมเมื่อปี 1976 โดยมีฐานะเป็นหัวหน้าฝึกคราฟมากา นับรวมแล้ว Eli ฝึกทหารไปกว่า 92,000 นาย จากนั้นเมื่อปี 1978 สมาคมคราฟมากา ได้ก่อตั้งขึ้น
ที่มา: History [2]
คนทั่วไปสามารถฝึกคราฟมากาได้ ตามหลักสูตรของอิมเร โดยมีระบบให้คะแนน แบ่งระดับด้วยสายคาด อ้างอิงตามระบบของยูโด 1-9 ขั้น ก่อนที่ปลายทศวรรษ 1980 อีกระบบจะคิดค้นโดย Eyal Yanilov แบ่งเป็น 3 เกรด ได้แก่ ผู้ฝึก, บัณฑิต และผู้เชี่ยวชาญ
โดยแต่ละเกรด แยกย่อยเป็น 5 ระดับ แทนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่น P1-P5, G1-G5 และยังมีจำนวนแถบ บอกตำแหน่งอีกด้วย ซึ่งแต่ละแถบหมายถึงอะไร มีการฝึกเทคนิคไหนบ้าง สามารถอ่านต่อได้ที่ The First Three Krav Maga Belts by Colour
เทคนิคคราฟมากา วัตถุประสงค์หลัก คือทำให้คู่ต่อสู้ ไร้ความสามารถ ยกตัวอย่าง เทคนิคพื้นฐาน และเทคนิคแอดวานซ์ เช่น
พื้นฐาน
สำหรับผู้ฝึก
แอดวานซ์
ที่มา: Krav-Maga Techniques [3]
บางแหล่งข้อมูล เชื่อมั่นว่า คราฟมากาเป็นศิลปะการต่อสู้ และป้องกันตัว แต่บางข้อมูลโต้แย้งว่าไม่ใช่ เพราะมันเป็นเพียง ระบบป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอด โดยมีรายละเอียด การเปรียบเทียบ ดังนี้
สรุปแล้ว แนวคิดคราฟมากา หากย้อนไปในยุคแรก ที่ถูกฝึกให้กับทหาร ผู้เขียนมีความเห็นว่า ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ แต่ใช้เพื่อเอาตัวรอด แต่ในปัจจุบัน หลังจากมีหลักสูตรของพลเรือน มีกฎ การควบคุม และจัดอันดับ จึงใกล้เคียงกับคำนิยาม ของศิลปะการต่อสู้
ฝึกคราฟมากามีประสิทธิภาพสูง ใช้ได้ในสถานการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็น ถูกชิงทรัพย์, ทะเลาะวิวาท ใช้เทคนิคนี้เพื่อป้องกันตัว และสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่าย เพราะกฎข้อเดียว คือ ต้องเอาตัวรอด ปัจจุบันฝึกได้ทั้งชายและหญิง
แต่หากเป็นการต่อสู้ไร้อาวุธ หวิงชุน (Wing Chun) ระบบป้องกันตัวของชาวจีนตอนใต้ เป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบกว่า เพราะโดดเด่นเรื่องการสู้ประชิดตัว หมัดรัว และการโจมตีตรงจุดสำคัญ
คราฟมากาต่างจากคาราเต้เป็นส่วนใหญ่ เพราะคาราเต้มีหลักการ ฝึกแบบองค์รวม มีกฎการแข่งขัน ระบบคะแนน เครื่องแต่งกาย ฝึกได้ตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป เด่นด้านทักษะการเตะสูง ฝึกแล้วทำให้มีสมาธิ สร้างความมั่นใจ และนับถือในตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมีบางส่วนที่เหมือนกัน เช่น มีรากฐานมาจากตะวันออก, รูปแบบป้องกันตัว, ฝึกให้รู้ทันสถานการณ์, ใช้องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย เป็นต้น