กีวี่ ผลไม้ลดพุง ตัวช่วยลดน้ำหนัก

กีวี่ ผลไม้ลดพุง

กีวี่ ผลไม้ลดพุง ตัวช่วยลดน้ำหนัก ผลไม้สีเขียวลูกเล็ก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ตัวช่วยสายลดน้ำหนัก และยังมีสารอาหาร อีกจำนวนมาก มีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีกมากมาย เป็นที่นิยมในกลุ่มคนจำนวนมาก หาซื้อได้ทุกที่ ในห้างสรรพสินค้า หรือตามตลาดใหญ่ๆ ทั่วไป

  • ถิ่นกำเนิดและลักษณะของกีวี่
  • กีวี่ช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก
  • ประโยชน์และสารอาหารในกีวี่
  • แนะนำการกินกีวี่และข้อควรระวัง

จุดกำเนิด ชื่อของผลไม้ กีวี่

กีวี่มีถิ่นกำเนิด มาจากประเทศจีน ในแถบหุบเขาแยงซี ถูกจัดว่าเป็นผลไม้เมืองหนาว ชื่อแรกที่ใช้เรียกผลไม้ชนิดนี้คือ “ไชนิสกูสเบอร์รี่” (Chinece gooseberry) ต่อมาได้มีการนำไปเป็น สินค้าจำหน่ายระหว่างประเทศ และประเทศแรกที่ได้ค้าขายคือ ประเทศนิวซีแลนด์

ต่อมาได้มีการ นำไปพัฒนาต่อ จึงได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็น “กีวีฟรุต” เพราะในประเทศนิวซีแลนด์ มีนกกีวีเป็นสัญลักษณ์ จึงทำให้ชื่อผลไม้ชนิดนี้ถูกเปลี่ยน และมีคนใช้เรียกกันมา จนถึงปัจจุบัน และยังเป็นชื่อที่คนทั้งโลกจดจำ และไม่ค่อยมีคนพูดถึงชื่อเดิม อีกเลย

กีวี่ ได้นำเข้ามาในประเทศไทย ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 โดยการนำเข้ามามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (A. Chev) C.F.Liang et A.R.Ferguson ver. deliciosa ได้มีการนำมาทดลองปลูกครั้งแรกที่ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการทดลองและ แนะนำให้เกษตรกรนำไปปลูก เพื่อสร้างรายได้อีกด้วย

ที่มา: กีวีฟรุต [1]

ลักษณะ ของต้นกีวี่

กีวี่เป็นผลไม้แบบไม้เลื้อย สามารถมีอายุอยู่ได้นานหลายปี ใบมีลักษณะแบบแบนเป็นรูปไข่ ใบยาวได้มากถึง 12.5 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม เมื่อใบออกใหม่จะมีสีแดง ดอกจะออกดีช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกจะมีสีครีม กลิ่นหอม ผลจะมีหลายลักษณะ ทั้งกลมและวงรี มีขนหนามปกคลุม เปลือกสีน้ำตาลอ่อน

ผลของกีวี่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ เมื่อผลอายุประมาณ 9 เดือน แต่หากปลูกในพื้นที่หนาวจัด ผลจะสุกช้ากว่า การปลูกในพื้นที่ ที่หนาวน้อยกว่า ลักษณะของผลเมื่อสุกจะดูได้ยาก เพราะหากกีวี่สุกเปลือกภายนอก จะแข็งอยู่ มีวิธีการตรวจคือ นำผลไปวัดค่าปริมาณ น้ำตาลของผลกีวี่ หากน้ำตาลได้เกณฑ์คือผลสุก

กีวี่ในประเทศไทย ที่ทางโครงการหลวงปลูกอยู่ ตอนนี้มีถึง 7 สายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์ของต้นตัวเมีย, พันธุ์ของต้นตัวผู้, พันธุ์ Bruno, พันธุ์ Monty, พันธุ์ Hayward, พันธุ์ Dexter, พันธุ์ Abbott โดยทั้ง 7 สายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่ ทางโครงการหลวงดูแล และทำการวิจัย เพื่อพัฒนาสายพันธุ์เพิ่มขึ้นมาอีก ในอนาคต

ทำความรู้จัก สารอาหาร ในกีวี่

สารอาหารใน กีวี่ 100 กรัม ให้พลังงาน 61 แคลอรี และให้สารอื่นๆ อีกเช่น

วิตามิน (หน่วยเป็น มิลลิกรัม)

  • วิตามินบี1 = 0.027
  • วิตามินบี2 = 0.025
  • วิตามินบี3 = 0.341
  • วิตามินบี6 = 0.063
  • วิตามินบี9 = 25
  • วิตามินซี = 92.7
  • วิตามินอี = 1.46
  • วิตามินเค = 0.0403

แร่ธาตุ (หน่วยเป็น มิลลิกรัม)

  • สังกะสี = 0.14
  • โซเดียม = 3
  • โพแทสเซียม = 312
  • แคลเซียม = 34
  • เหล็ก = 0.31
  • แมงกานีส = 0.098
  • แมกนีเซียม = 17
  • ฟอสฟอรัส = 34

สารอาหารสำคัญอื่นๆ (หน่วยเป็น กรัม)

  • โปรตีน = 1.14
  • ไขมัน = 0.52
  • น้ำตาล = 8.99
  • เส้นใย = 3
  • โคลีน = 7.28
  • คาร์โบไฮเดรต = 14.66

ที่มา: กีวี่สรรพคุณและประโยชน์ [2]

กีวี่ ช่วยลดน้ำหนัก ได้เพราะอะไร

กีวี่ ผลไม้ลดพุง

สายลดน้ำหนัก ที่กำลังมองหา ผลไม้กินระหว่างมื้อ หรือกำลังหาตัวช่วย เรื่องระบบขับถ่าย การขับไขมันเสีย กีวี่จัดว่าเป็น ผลไม้ลดน้ำหนักได้ดี เหมือนกันกับการกิน แอปเปิ้ลเขียว เพราะมีการให้พลังงานน้อย แต่ช่วยให้อิ่มไว และลดการกินจุกจิก ช่วยลดการอยากกินขนม หรือของหวาน ได้อย่างดี

ในตัวกีวี่ ยังมีไฟเบอร์จำนวนมาก ซึ่งไฟเบอร์นี้จะช่วยในระบบขับถ่าย และระบบลำไส้ สามารถช่วยให้ขับไขมันเสีย และยังพุงจะยุบตัวลง การกินกีวี่ยังช่วยทำให้อิ่มนาน ช่วยลดความอยากอาหารระหว่างวันได้อีกด้วย

หากสนใจอ่านเรื่องผลไม้ลดน้ำหนักเพิ่มเติมสามารถคลิกอ่านได้ที่ hd.co.th

รวมประโยชน์ ของกีวี่

  1. ช่วยลดการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  2. มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญต่อผิว ทำให้การสร้างคอลลาเจน ทำงานได้ดี และทำให้ผิวดูสว่างใส
  3. ช่วยลด รอยแดง จุดด่างดำ และจัดการปัญหาผิวคล้ำ
  4. ตัวช่วยเรื่องการ ควบคุมน้ำหนัก เพราะทำให้อิ่มเร็ว
  5. ช่วยป้องกัน การเสื่อมสลายของเซลล์
  6. ช่วยต้านโรคมะเร็งได้ เนื่องจากมีสาร “โพลิฟีนอล” ที่ออกฤทธิ์ยับยั้ง เซลล์มะเร็ง
  7. ใช้การทำอาหาร หรือการตกแต่งเค้ก เพื่อเพิ่มความสวยงาม
  8. นำไปแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าได้ ทั้งการนำไป ตากแห้ง น้ำไปเชื่อม หรือการทำผลไม้กระป๋อง

 แนะนำ ช่วงเวลากิน เห็นผลดีที่สุด

ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการคิดค้น วิธีกินที่เห็นผลดีที่สุด และยังมีการทดลองแล้ว ว่าการกินกีวี่ช่วงเวลาหลังอาหาร ทำให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด ช่วยได้หลายเรื่อง เช่น

  1. หากกินหลังอาหารเย็น จะช่วยระบบขับถ่าย เพราะลำไส้จะเริ่มขับกากของเสีย เวลาเที่ยงคืน หากกินช่วงเย็นจะไปช่วยกระตุ้น การขับถ่ายได้ดี
  2. ช่วยลดน้ำหนัก เนื่องจากหากนอนไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มดูดซึมสารอาหาร และยังไปช่วยเรื่องการเผาผลาญไขมัน ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  3. ช่วยเรื่องผิว เพราะมีวิตามินซีจำนวนมาก การกินหลังอาหารเย็น เป็นเหมือนการเพิ่มวิตามินซี ที่ดีต่อร่างกาย

ที่มา: แค่เปลี่ยนเวลากินก็เปลี่ยนประโยชน์ของกีวี่ได้ [3]

เรื่องควรระวัง ใครไม่ควรกิน กีวี่

  1. หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นม: ในกีวี่มีสารอาหารจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้มีการคิดค้น หรือการวิจัยหาข้อเท็จจริง ว่าหากผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมกิน จะส่งผลอย่างไรต่อเด็ก
  2. ผู้ที่มีแพ้กีวี่: หรือแพ้ผลไม้ชนิดอื่น เช่น อะโวคาโด งา หรือข้าวสาลี กลุ่มผลไม้จำพวกนี้หากมีอาการแพ้อยู่แล้ว ควรเลี่ยงการกินกีวี่ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้น
  3. ผู้ที่ต้องผ่าตัด: เพราะการกินกีวี่ อาจจะทำให้ เลือดมีการแข็งตัว ที่ช้าลงและอาจจะเลือดหลุดไหลช้า ควรงดการกินกีวี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

บทสรุป กีวี่ ผลไม้ลดพุง

บทสรุป กีวี่ ผลไม้ลดพุง สามารถช่วยลดได้จริง จากการไปช่วยในระบบต่างๆ ในร่างกาย ทั้งระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และยังช่วยลดไขมันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพุง อีกทั้งยังไปช่วยเรื่องผิวพรรณ ให้ผิวสุขภาพดี ดูเปล่งปลั่ง ผิวใสแข็งแรงขึ้น

ไม่ควรกิน กีวี่เกินวันละกี่ลูก

โดยทั่วไปแล้ว สามารถกินได้ไม่จำกัด แต่แนะนำให้กิน ไม่เกินวันละ 2-3 ลูก จะเป็นปริมาณที่ร่างกายต้องการได้รับ นอกจากนี้หากกินเยอะเกินไป อาจจะได้รับน้ำตาลในปริมาณมาก ถึงแม้ว่าจะช่วยเรื่องลดน้ำหนัก แต่ในกีวี่ก็ยังมีน้ำตาลอยู่

ท้องอืด ถ่ายยาก กินกีวี่ดีมั้ย

สำหรับคนที่มีปัญหา ท้องอืด ขับถ่ายยาก ท้องผูก แนะนำให้กินกีวี่ได้ เพราะในกีวี่มีไฟเบอร์สูง เป็นตัวช่วยเรื่องการขับถ่าย และยังสามารถกระตุ้น การขับถ่ายได้ดี สามารถกินกีวี่ก่อนนอน เพื่อให้ไปกระตุ้นระบบขับถ่ายได้เลย

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง